banner
จันทร์ ที่ 3 เดือน กรกฏาคม พ.ศ.2560 แก้ไข admin

บ้าน .....ของคนเร่ร่อน/ เด็กเร่ร่อน



 
นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          ก้าวแต่ละก้าวต้องเดินให้พอดีกับคอนรถไฟ ไม่อย่างนั้นเวลาเดินเท้าจะต้องเหยียบก้อนหินที่โรยตามรางรถไฟ  การเดินก็ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก  บางครั้งก็ก้าวก็ก้าวพลาด เดินเซไปเลย  เพราะแต่ละครั้งกระเป๋าเป้หนึ่งใบสะพายหลัง  หิ้วอีกสองมือที่เต็มไปด้วย

          มือขวาถุงสีดำมีทั้ง นม ขนม อาหารแห้ง ที่จะนำลงไปแบ่งปันกับเคสของตนเอง  ที่จะเข้าไปคุยให้เขาไว้วางใจ

          มือซ้าย วันนี้มี ผ้าเช็คตัว แป้ง สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ยาแก้ปวดหัว  พร้อมทั้งยากันยุง  ที่พอเป็นการดำรงชีวิตให้รอด

          เดินถามไปตลอดทางว่ารู้จักบ้าน เด็กชายอามีนไหม

          ทุกคนส่วยหน้า   ถามกลับมาว่าเป็นประชาสงเคราะห์หรือ!!!! 

          ครูบอกไม่ใช่   ครูเป็นครูทำงานมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก   อ้อไม่รู้จักหรอกไอ้พวกเด็กเกเร

          เดินต่อถามสองคน  สามี-ภรรยา คู่หนึ่ง  กำลังเสียบหมูปิ้งอยู่  ข้างริมทางรถไฟ

          แค่ทำมาหากินก็หมดเวลาแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจคนอื่น  ไม่รู้จักหรอก 


          ครูก็เดินต่อ  อย่างมีความหวังว่าวันนี้มันต้องได้พบอะไรบ้าง  มารอบที่สามในการตามหาบ้านของเด็กชายอามีน กับปู่

          เห็นช่องทางเล็ก  มองลงไป เป็นทางเดินที่เดินลงไปใต้ทางด่วน  มองเห็นบ้านหลังเล็กที่ ตายายคู่หนึ่ง ปลูกเอาไว้นอนพักผ่อนแน่นอน พร้อมมีหลานตัวเล็ก เล็ก อยู่หนึ่งคน

          คุณยายเคยเห็นเหล่านี้ไหม พร้อมเอารูปให้ดู   คุณยายชี้ไปที่ต่อมอ  เด็กอยู่กันที่นั้น  เด็กมันน่าสงสาร  ช่วยอะไรได้ ช่วยพวกเขาเถอะ  ไม่อย่างนั้นพวกเขาเข้าคุกแน่ แน่..

          พอได้ข้อมูลครูพร้อมกระเป่าสองใบที่หิ้วมาอย่างหนัก ก้าวเดินอย่างระวัง บนแผ่นปูน  และแผ่นไม้  พลาดเมื่อไรเละอย่างเดียวค่ะ  กลิ้งคลุกน้ำเน่าแน่นอน

          แต่ในใจของครู มันเต้นโครมครามตลอดเวลา  อุตส่าห์เดินหามาตลอด  เพิ่งมาหาเจอก็วันนี้เอง  บอกกับตัวเองว่า แค่ได้เห็นที่พักของเด็กก็พอ


          เดินมาถึงตอม่อขนาดใหญ่สูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร  เจ้าของบ้าน ต้องทำบันไดขึ้นไป พบพี่อุ้มกำลังอาบน้ำแบบนุ่งกระโจมอก  เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ

          อาบแค่สามขันเท่านั้น   แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

          เพียงแต่ถามหาเด็กชายอามีน   บอกว่าเพื่อน เพื่อน อยู่บนตอม่อสองคน

          นอนที่ห้องของเขาสองคน  พร้อมกับชี้มือไปที่ห้องพัก  มองแบบไม่เชื่อสายตาตนเองว่านั้นคือห้องพัก ที่เด็กใช้นอนกัน

          อยู่ใต้ทางด่วนห่างจากตอม่อสักประมาณ 4 เมตร  มีไม้ซีกเล็ก เล็กประมาณ สี่ด้าน ว่างไว้ด้านบน มีหลักเป็นไม้ไผ่ สี่ด้านเหมือนกันเป็นเสา มีผ้าห่มที่เก็บมาได้ แขวนเหมือนผ้าม่านกั้นระหว่างหน้าต่าง  มีผ้าที่อีกหลายผืนกั่นเป็นห้อง

          ครูได้แต่ชะโงกไป มีโชฟา หนึ่งตัว ทำเป็นเตียงนอน  มีเด็กวัยรุ่นสองคนนอนเคียงคู่กันอยู่  มิบังอาจเขาไปใกล้เพราะนั้นคือการล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัว  ครูได้แต่ถ่ายรูปห้องพัก  ที่อุปโลกน์ขึ้นมา

          กลับมาย้อนกลับที่ต่อมอ   พี่สาวเจ้าของบ้านบนต่อมอบอกว่า  ข้างนี้ก็เป็นอีกห้องหนึ่งเหมือนกัน

          เขาเอาไม้ต่อออกจากต่อมอ เป็นสี่ด้านพร้อมตั้งเสาสองข้าง  หลังคามุงด้วยแผ่นพลาสติก  ฉากกั่นเป็นผ้าขนหนูที่ขาดแล้ว

          ตรงพื้นดินเป็นพลาสติกรอง  เสียงใสของเจ้าของ บอกว่าปกติจะมีโซฟา    แต่เมื่อฝนมันตก  พื้นดินแฉะมากจึงยกโซฟามาไว้บนต่อมอค่ะ  มันนอนกันตรงนี้สองคน


          สำหรับบนตอม่อมันเหมือนบ้านตรงไหน  แต่เจ้าของก็เรียกว่าบ้านอย่างเต็มปาก  กองเสื้อผ้ามีอยู่หนึ่งกอง   ห่างออกเป็นเป็นโซฟา ที่ผุพังตรงกลางบอกว่าเป็นที่นอนของลูกสาว โดยมีผ่าไม้รองตรงกลางคลุมด้วยผ้าขนหนูอยู่หนึ่งผืน บอกว่าเป็นที่นอนชั้นดี มีผ้าห่มผืนบางอีกหนึ่งผืนเอาไว้คลุมตัวในช่วงกลางคืน  เพราะยุงเยอะมาก   สำหรับที่นอนของสามี ห่างออกเป็นที่ยื่นทำเป็นครัว  ส่วนมากสามีจะนอนกลางวันเท่านั้นเพราะกลางคืนไปเป็นยาม

          โดยมีทางด่วนเป็นหลังคาชั้นดี  พร้อมมีปล่องไฟที่ส่งสว่างมาทั้งกลางวันและกลางคืน  กลางคืนพวกเราก็จะเร่ร่อนกันที่ซอยนานา  หรือเด็กก็ไปเข็นของที่สุขุมวิท   แล้วแต่วันที่มีงาน 

          เพราะกลางคืนมันมืด   จะกลับมานอนก็คอนแจ้งเกือบสว่างทุกคืน  ยกเว้นบางคืนที่ฝนตกก็ต้องมานอนให้มันหลับ  จะไม่มีงานให้ทำ  บางครั้งผมก็ขอเงินจากนักท่องเที่ยวเป็นครั้งคราว

          ครูอย่าถามเรื่องยุง  ยิ่งกว่าแมลงอีก  ตัวพวกผมมันมีแต่รอยยุง  ไข้เลือดออกที่เด็กคนอื่นเขาเป็นกันสำหรับผม  เลือดพวกผมมันมีเลือดยุงผสมอยู่แล้ว ไข้เลือดออก ไม่เป็นหรอก  แต่โรคอย่างอื่นมากกว่า   แต่ไม่ใครกล้าตรวจหรอกครู  


          การอ่านน้ำ  ไม่ต้องอาบ  ยกเว้นไปลักอาบที่ห้องน้ำตำรวจใต้ทางด่วน

          การเข้าห้องน้ำ  เรามีพื้นที่สาธารณะเต็มไปหมด  อย่างปัสสาวะใกล้ที่นอน  หรืออุจาจาระใกล้ที่อย่างเดียว  บางครั้งก็ยอมจะใช้ห้องน้ำที่เสียเงินในซอยนานา  ครั้งละ 5 บาท  มันแพงมาก  พวกผมก็ใช้พื้นที่ใต้ทางด่วน

          สำหรับสามีของฉันจะต้องเสียค่าห้องน้ำ  ทั้งอาบน้ำ  ปัสสาวะ อุจจาระ 5 วัน  เจ้าของบ้านเขาคิด 100 บาท  แต่ให้หิ้วน้ำมาได้ไม่เกิน 2 ถัง  ครูค่ะทุกอย่างมันคือเงิน  อะไรฟรีสำหรับใต้ทางด่วน ก็คือการอาศัยอย่างพวกผมนี้แหละครับ

          ครูครับ  ซอยนานามันเป็นบ้านเกิดพวกผม  อยู่กันมาตั้งแต่ยังเล็ก   หากินขอทานที่ซอยนานา  จะมีกินหรือไม่ก็เชี่ยวชาญอยู่  มันเป็นแหล่งทำมาหากินของพวกผม

          แล้วไม่คิดจะหาบ้านเช่ากันหรือไร

          แค่หากินแต่วันให้ครบทั้งสามมื้อ ก็ยากเหลือเกิน  ประทังชีวิตได้เพียงแค่วันละมื้อแบบกินอิ่มอย่างมาก

          ครูครับบ้านที่บริเวณแถวนี้ที่ครูเดินผ่านนี้ค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท ค่าน้ำค่าไฟ เกือบสี่พัน  พวกผมจะเอาที่ไหนไปจ่าย   ผมนอนอย่างนี้กันมากว่าห้า-หกปี กันแล้ว มันเป็นบ้านครับ

          พวกผมทำงานกันได้คืนละหนึ่งถึง สอง ร้อยเท่านั้นจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย

          ครูครับอย่าแนะนำเรื่องบ้าน   พวกผมก็ต้องยึดใต้ทางด่วนเป็นบ้านไปก่อน  หรือช่วงชีวิตพวกผมก็ได้นะครู   แค่ครูไม่รังเกียจมาเยี่ยมก็เป็นบุญคุณเหลือครับ


          ครูไม่ใช่คนของประชาสงเคราะห์ แน่นะ 

          ครูเป็นคนของมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก  อยากคุยกับพวกเธอ 

          อยากลงมาถามไถ่เรื่องเอกสาร ใบเกิด และความต้องการ อยากให้ครูช่วยอะไรบ้าง   อย่างนี้ผมอยากคุยด้วย 

          ขอบคุณมากนะครู หิ้วผ้าห่ม ยาสระผม ผงซักฟอกมาให้ด้วย  ผมได้ใช้ครับ

          ครูอาจจะมองว่าไม่ใช่บ้าน  แต่มันคือบ้านของผม

          ผมนอนมันได้  ดีกว่านอนข้างถนน  อย่าน้องคือที่ซุกหัวนอนของพวกผม

          ผมรักเหมือนบ้าน  มันคือทุกอย่างของพวกผม   ฝันเหมือนกันครับ

          ว่า "อยากมีบ้าน"    แต่ตอนนี้บ้านของเป็นเป็นอย่างนี้

          มันคือ "บ้าน"  ของคนอย่างผมครับ.....นอนได้เหมือนกัน