banner
จันทร์ ที่ 30 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2559 แก้ไข admin

อยากเรียน..ต้องได้เรียน ...คุณภาพของเด็กในอาเซียน



นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก


 ภาพที่แม่กับเด็กนั่งขอทานบนถนนอโศก สุขุมวิท 23  ซอยนานา ส่วนมากก็จะเห็นเด็กกับแม่เป็นส่วนใหญ่  สิ่งที่พบเห็นเด็กจะไม่พูดเลยแม่ก็นั่งก้มหน้า ถามอะไรก็ไม่พูด เพิ่งมารู้ภายหลังว่า กลุ่มแม่และเด็กเหล่านั้น ไม่ใช่คนไทย ส่วนมากเป็น “กลุ่มคนต่างด้าว” ส่วนมากที่ครูพบในการเดินถนนมาตั้งแต่ 6 กุมภาพันธ์ 2555  คือกลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าวชาวกัมพูชาเป็นส่วนใหญ่  แนวทางที่จะให้เด็กกลุ่มพ้นจากถนนก็คงยาก แต่จทำอย่างไรให้เด็กกลุ่มเหล่านี้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา เพราะการศึกษาเท่านั้นที่จะทำให้เด็กได้มีโอกาสทางการศึกษา  มีที่ยืนในสังคม และมีโอกาสที่จะได้ทำงาน  ทางครูจิ๋วเองได้มีโอกาส นำเด็กลูกกรรมก่อสร้าง เข้าเรียนมาแล้ว  เช่น

                กรณีของน้องจิน เป็นเด็กชาวพม่า ที่ติดตามพ่อแม่ ซึ่งมีอีกสองครอบครัว เด็กหญิงสี่ ตอนนี้ย้ายกลับไปที่ประเทศพม่าแล้ว ยังมีครอบครัวของเด็กหญิงณสา และเด็กหญิงดาว   และยังมีเมื่อปลายปีที่เข้าเรียนโรงเรียนแถวบางแค อีกสองคน   คำพูดของผู้ช่วยครูคนหนึ่ง ที่ทำงานในศูนย์เด็กก่อสร้างบอกตลอดเวลา ในการทำงาน  “   จะเด็กเขมรหรือเด็กไทยใครๆก็เรียนได้     ความรู้ที่ไร้ขีดจำกัด  ปัจจุบันการศึกษาของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นในระบบหรือนอกระบบ  เด็กไทยค่อนข้างให้ความสนใจในเรื่องการศึกษา การเรียนน้อยลง แต่ในมุมๆหนึ่งของสังคมไทยที่หลายๆคนมองข้าม กลับมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนไทยอาศัยอยู่ในสังคมไทยอย่างไม่เปิดเผย    และให้ความสนใจที่จะไขว่คว้าอยากจะเรียนอยากจะอ่าน ตลอดจนหัดพูดเขียนภาษาไทย   ทั้งๆที่มันไม่ใช่ภาษาของพวกเขาเลยแต่เพื่อที่  จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยได้อย่างปกติหมือนเด็กไทยคนอื่นๆ  เพราะเหตุนี่จึงทำให้เขาอยากจะเรียนรู้มันแล้วคุณละคิดยังไงกับเด็กกลุ่มนี้ ” นายอนุสรณ์  ผู้ช่วยครูแอ๊ว งานศูนย์เด็กก่อสร้าง




                สำหรับกรณีเด็กที่เป็นชาวกัมพูชา ก็เริ่มนำเด็กขอทานเข้ามาสู่บ้านอุปถัมภ์เด็ก ซึงเป็นบ้านที่รองรับเด็กทั้งเด็กเร่ร่อน และเด็กด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆด้วย ในขณะเดี๋ยวกันกลุ่มคนบนถนนที่เป็นแม่และเด็ก เร่ร่อนต่างด้าวที่ถูกจับ ก็จะถูกกล่าวหาว่า “ค้ามนุษย์”  แม่ก็ถูกจับคุกฟรีไป 84 วัน เด็กส่วนใหญ่อยู่ในสถานสงเคราะห์ เพิ่งเมื่อปีที่แล้วที่กลุ่มแม่และเด็กถูกจับที่ศูนย์ปฎิบัติการขอทานและคนไร้ที่พึ่งจับ  ก็จะถูกส่งทั้งแม่และลูกไปยังสถานแรกรับคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี  ซึ่งกระบวนการตรวจ DNA นานมาก  กว่าจะส่งกลับบางครั้งต้องใช้เวลากว่า 4-8 เดือน  (เคสเป็นคนพูดเองคะ) การที่อยู่ในสถานแรกรับกระบวนการอยู่ยาวนานขึ้น  การตรวจ DNA มีการตรวจ 2 เดือนต่อหนึ่งครั้ง รอฟังการตรวจอีก หนึ่งเดือน  แล้วมีการเตรียมส่งกลับประเทศ ซึ่งที่พบคือบางคนอาจมีลูกเพิ่งคลอด บางคนช่วงที่จะส่งเด็กไม่สบาย ถูกจับมาแต่ไม่มีการตรวจ DNA ก็ต้องรอก่อน ถือว่าเป็นการฟื้นฟู  แต่สิ่งที่แม่ห่วงคือลูกที่อยู่ข้างนอกนั้นสำคัญว่าจะอยู่จะกินอะไร อยู่อย่างไร เป็นหนี้สินชีวิตที่ไม่สิ้นสุด “ทาส”รูปแบบใหม่ของสังคม ของระบบกฎหมาย  คงต้องมีการพิจารณากันให้ละเอียดแม้แต่ผู้เขียนเอง  ในช่วงนี้กฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มแม่และเด็กหลักการปฏิบัติไม่เหมือนกันเลย

                สิ่งที่ทางโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ร่วมกับทางครูมุ้ย  และผู้อำนวยการโรงเรียนวัดมหาวงษ์ พยายามที่ จะผลักดันให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับโอกาสที่ดี ให้เด็กกลุ่มนี้ที่เคยติดตามแม่ไปขอเงิน ได้มีโอกาสทางการศึกษา  ในการเปิดภาคเรียนการศึกษา แต่ละครั้ง พวกเราทุกหน่วยงานก็พยายามที่จะให้เด็กได้มีเสื้อผ้า รองเท้า ชุดพละ รวมถึงสิ่งอื่นๆที่เท่าเทียมกับเด็กไทยทุกคน  ไม่ต้องการให้น้อยหน้า ได้รับความเท่าเทียมในการเรียน เสมอภาค




                เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2559  ได้นัดกับท่านผู้อำนวยการโรงเรียน ครูมุ้ยพร้อมเด็กกับผู้ปกครอง ที่อยากเข้าเรียนใหม่ จำนวน 7 คน มาที่โรงเรียน ทางครูจิ๋วเองก็เตรียมค่าใช้จ่าย ทั้งหมดไปเพื่อให้เด็กได้อุปกรณ์การเรียนครบ  พร้อมกับได้มีโอกาสพบกับเด็กที่พวกเราทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปีด้วยกัน

                เด็กใหม่จำนวน 7 คน ที่จะเข้าเรียน มีตั้งแต่ สองคน ที่เด็กอายุมากกว่า 13 ปี ซึ่งขอเอาเข้ากันประถมศึกษาปีที่ หนึ่ง คือเด็กชายฮง  ฮิง ซึ่งเด็กไม่เคยเรียนหนังสือมาเลย แต่ได้หัดเขียนภาษาไทยบ้างเป็นครั้งคราว อ่าน ก-ฮ ได้บ้าง  แต่ที่สำคัญคือเขียนชื่อตนเองได้  สำคัญคือมีหน้าที่ดูแลน้องสาว  ซึ่งในครั้งนี้น้องสาวเข้าเรียนชั้นอนุบาล และต้องช่วยดูแลแม่ที่ต้องป่วย พ่อทำงานคนเดียว สำหรับรายละเอียดก็ต้องดูแลความช่วยเหลือให้เด็กได้เรียนตลอดรอดฝั่งกันอีกครั้ง





 

เด็กหญิงสกเนีย พอ เป็นเด็กรูปร่างสูงผอม ใบหน้าขาวซีดเหมือนเด็กอมทุกข์ ตอนที่ครูจิ๋วลงจากแท๊กซี่เห็นสองคนกับแม่มานั่งที่หน้าโรงเรียน  ท่านั่งเหมือนที่บนถนนที่สี่แยกอโศก  เสื้อที่ใส่มาโรงเรียนสีขาวแต่มันขาวแบบขุ่นเกือบสีน้ำตาล กระโปร่งที่ใส่มาก็บอกได้ว่า ตัวมันใหญ่ใส่ไม่พอเหมาะกับตัวเด็ก แต่สายตาที่มองก็บอกได้เลยว่า  เด็กอยากเรียน  แม่เองก็พยายามทุกทางที่จะให้ครูใหญ่เห็นความสำคัญ  แม่ลูกคู่นี้ ได้เอาใบเกิดที่เป็นภาษากัมพูชา  ผู้อำนวยการพยายามให้เด็กหลายคนมาช่วยในการแปลเอกสารให้ตรงกัน ว่าเกิดวันที่เท่าไร  พ.ศ.อะไร  เพื่อให้ได้รู้จักอายุ  สุดท้ายก็ต้องส่งแปล  สองคนนี้ผู้อำนวยการให้ครูสุริยา ทำบันทึก โดยการใช้ แบบฟอร์ม ใบ “089”  ลงบันทึกไว้ก่อน

                เด็กชายวันทา  อายุ 10 ปี  พ่อของเด็กน้อยเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานโกดัง ทำงานหนักไม่ได้ รายได้ที่เคยพอมีพอกิน ก็ขาดแคลนเป็นครั้งคราว จึงมีบ้างบางครั้งที่รายได้ไม่พอแม่ก็พาลูกออกไปบนถนนเป็นครั้งคราว  อยากให้ลูกได้เรียน เพราะเป็นลูกคนเล็กที่ไม่เคย อ่าน เขียน ฟัง แต่พูดได้บ้าง เป็นครั้งคราว ท่านผู้อำนวยการ มีคำถามถึงความตั้งใจที่อยากจะเรียน เด็กก็ตอบแบบฉะฉาน ชื่อที่รอดจนครูจิ๋วได้ยินคือเพื่อน เพื่อน คนอื่นเขาได้เรียน  เขาท่องกลอน อ่านหนังสือได้ แถมร้องเพลงไทยได้ ได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้างเป็นครั้งคราว  เขาเหล่านั้นคือแรงบันดาลของผมครับ  ผมอยากเรียนจริง จริง  ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนจึงส่งมาให้ครูสุริยา กับครูมุ้ย ทำบันทึกประวัติ



                เด็กน้อยผู้ชาย ขาวตี๋ ในตาโตมากเหมือนพี่สาวอีกสองคน ที่อยู่บ้านอุปถัมภ์เด็ก มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก  พี่สาวคนโตชื่อเด็กนอย ซอ  เป็นลูกคนละแม่  แต่แม่เดียวมีสามคน คือเด็กหญิงเนตร  ซอ  และมาเด็กชายซุยตี ซอ อายุ 5 ปี  และมีในท้องประมาณ 9 เดือนอีกหนึ่งคน  เดิมแม่ชอบบังคับให้เด็กออกไปบนถนน  จนกลายเป็นรูปเด็กที่โด่งดัง ในเรื่องว่าเด็กคนนี้เกิดการลักพาตัวมาจากประเทศมาเลเซีย  จนต้องมีการหาหลักฐานเอกสารพร้อมผลตรวจ DNA มายืนยันกัน  ส่งทั้งหมดไปที่บ้านพักเด็กและครอบครัวนราธิวาส  เพราะมีบางองค์กรใช้ภาพเด็กอย่างยาวนาน  จึงมีการแชร์กันไปว่อนสังคมโซเวียลออนไลน์ ซึ่งรวดเร็วมาก  แม่ของเด็กสื่อสารภาษาไทยได้บ้างเป็นบางส่วน  บางอย่างก็ยังไม่เข้าใจ  เด็กชายซุยตี  ซอ  เข้าเรียนอนุบาล 1  ซึ่งทำให้ครอบครัว ลูกสามคนได้มีโอกาสเรียนหนังสืออย่างน้อยสุดก็แค่ อ่านออก เขียนได้ 

                เด็กหญิง ดา อายุประมาณ 7 ปี  แต่เรียนอนุบาล 2 ไปก่อน บิดา/มารดา เป็นชาวกัมพูชา  รูปร่างหน้าตาเด็ก โดยเฉพาะตา สวยงาก เหมือนกับเด็กที่เข้าเรียนมาก่อนแล้ว ยังถามว่าเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า เด็กบอกว่าเปล่า   ผู้อำนวยการให้ทำบันทึกประวัติ  เข้าเรียนท่าน

                เด็กหญิงตา  ฮิง  อายุ 5 ปี  เป็นน้องสาวของเด็กชายฮง ฮิง  สำหรับคนนี้สามารถเข้าเรียนได้เพราะดูแนวโน้มแล้วเด็กเกิดที่ประเทศไทย  เพียงคงได้ได้คุยกับครอบครัว เรื่องใบเกิดของเด็กที่คนคะ  เป็นอีกงานหนึ่งที่ต้องค่อยทำที่ละเคส 

                รายสุดท้าย เป็นเด็กไทย สุดแสบ และฮามาก  ด้วยบุคคลิกภาพ  แซบสุด ซ่าสุด  เป็นน้องของเด็กชายภูมิรัตน์   โพธิศรี  เป็นเด็กไทย แต่ได้อักษร “G”  ต้องมีการเปลี่ยนแปลง  สำน้องชาย คือ เด็กชายอภิรัตน์  โพธิ์ศรี  ซึ่งมีเอกสารใบเกิด  แต่ยายไม่มีค่าใช้จ่ายจึงไม่ได้เรียนมาสองปี  แต่ก็ต้องบอกสุดยอดอีกหนึ่งคน


                ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนท่านได้รับทั้งหมด 7 คน  และจะมีมาเพิ่มอีก 2 คน  และเด็กเก่าที่ยังไม่ได้มา เด็กยังติดกับมารดาเด็กที่สถานแรกรับคนไร้ที่พึ่งนนทบุรีอีก 2 คน  เพิ่งมีการตรวจผล DNA ประสานงานแล้ว เด็กจะถูกส่งกลับประมาณต้นเดือนมิถุนายน  2559 สำหรับเด็กเก่าทั้งหมด ที่ทางโครงการครูข้างถนน  กับทางครูมุ้ย  และทางโรงเรียนรับเองจากผู้กครอง แบ่งออกเป็น

(1)        กลุ่มที่ยังเรียนอยู่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556  จำนวน อนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  จำนวน 33 คน มีออกกลางคันไป  จำนวน 5 คน   อยู่สถานแรกรับ 2 คน เรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมอุดมน้อมเกล้า สมุทรปราการ  ปัจจุบันที่อยู่ในโรงเรียนวัดมหาวงษ์ จำนวน  25 คน

(2)        กลุ่มที่เข้าใหม่  เข้าตั้งแต่วันที่ 17 ,27  พฤษภาคม 2559  จำนวน  9  คน

(3)        กลุ่มที่ผู้ปกครองมาฝากเอง จำนวน 5 คน

(4)        เด็กที่ผ่านการทำงานของมูลนิธิฟอเด็ก จำนวน 7  คน

สำหรับเด็กทั้งใหม่และเก่าอยู่ในวัดมหาวงษ์ ในขณะนี้จำนวน 34 คน เป็นกลุ่มเด็กที่ได้รับโอกาสที่ดีจากโรงเรียนวัดมหาวงษ์  เป็นการเปิดพื้นที่การทำงานให้กับกลุ่มเด็กนานาชาติ อย่างแท้จริง  สร้างที่ยืน

ก่อนที่จ่ายเงินค่าเรียนคอมพิวเตอร์  ทางคณะครูได้เรียกเด็กทั้งหมดมา ให้ครูจิ๋ว และครูมุ้ย  เรียกขานชื่อเด็กที่ละคน  ได้เห็น เห็น ตาที่เติบโตเป็นหนุ่ม เป็นสาว  ใส่เสื้อผ้าใหม่  พร้อมทั้งแนะนำอีกห้าคนให้รู้จักเด็กชาวกัมพูชาด้วยกันเองด้วยคะ  สิ่งที่พูดคุยคือการได้รับโอกาสที่ดีของให้รักษาโอกาสเหล่านี้ได้     เรื่องที่สอง อย่าทะเลาะวิวาทกันเอง เพราะกฎหมายของไทยแรงมากจำคุกอย่างเดียว   สามเรื่องห้ามพาลูกออกไปถนนกับแม่โดยเด็ดขาดด้วยเหตุผลที่ว่า พระราชบัญญัติควบคุมขอทาน พ.ศ. 2559  ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 26 กรกฎาคม 2559  มีผลที่ปรับกลุ่มคนขอทานรุนแรงมากขึ้น ทั้งโทษจำคุกและโทษปรับด้วย 

หลังจากนั้นก็มาเด็กกลุ่มเจ็ดคนที่ต้องเข้าใหม่ ไปซื้ออุปกรณ์การเรียนสมุดโรงเรียน  กระเป๋า  เสื้อพระประแดง  ชุดอนุบาล  ที่นอน  พร้อมหมวกลูกเสือ อนุกาชาด ผ้าพันคอ  ซึ่งต้องจ่ายก่อน  เมื่อได้ของครบก็ส่งเด็กกลับไปรอครูมุ้ยที่บ้าน

ส่วนครูจิ๋วและครูมุ้ยก็เดินทางไปซื้อชุดนักเรียน ให้คนละสองชุด  ชุดลูกเสือ รองเท้า เข็มขัด  แค่เจ็ดคน  ซึ่งต้องบวกอีกสองคน  ครูมุ้ยจ่ายไปก่อนยังไม่ได้ให้เงินคืนเลย สิ่งที่ครูสองคนดำเนินการด้วยันทั้งวัน   เราต้องการให้เด็กได้เรียน สู้เพื่อให้เด็กมีที่ยืนในโรงเรียนอย่างยาวนาน และให้เรียนตามความสามารถของเด็กที่สุด  ทุกครั้งที่เห็นเด็กพวกเราคนทำงานก็ภูมิใจ ปลื้มใจเด็กทุกครั้ง  ว่าเด็กเหล่านี้อยู่ในโรงเรียน ซึ่งมีโอกาส อ่านพูด ฟัง เขียน ได้ภาษาใด ภาษาหนึ่ง เป็นพลเมืองอาเซียน ที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด เด็กกว่า 50 คน ซึ่งเป็นกลุ่มนานาชาติ ทั้ง เด็กกัมพูชา เด็กเวียนาม  เด็กพม่า ได้เรียนหนังสือ เท่าเทียบกับเด็กไทย  เป็นการใช้หลักของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กอย่างแท้จริง

 

โอกาสทางการศึกษาทำให้ได้เรียนต่อ

               ผู้อำนวยการโรงเรียน ท่านจะเรียกว่าเด็กหญิงเซนิค  คุ้ง  เป็นที่มาเรียนที่โรงเรียนนี้ ด้วยแม่มาฝากให้เข้าเรียน  การมาโรงเรียนมีเสื้อผ้าอยู่ชุดเดียว  แต่เป็นเด็กที่ตั้งใช้เรียนอย่างมาก  ทำงานส่งตัวเองเรียน  เด็กตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก พร้อมกับบอกว่าเป็นหนทางเดียวที่จะอ่าน เขียน ภาษาไทยได้   มีความฝันอย่างเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้

                ในช่วงเช้า ทุกเช้า เซนิค คุ้ง จะหิ้วน้ำเต้าหู้ ปลาท่องโก๋ ขนม ผลไม้ต่างๆ มาขายที่โรงเรียน โดยขายให้คุณครู เพื่อเป็นค่ารถจากตลาดสำโรงมายังโรงเรียนทุกวัน  ในช่วงเย็นก็จะรีบกลับไปช่วยแม่จัดการอาหาร ทำความสะอาดที่พัก  พร้อมเตรียมตัวขนผักที่จะมาส่งที่ตลาดสำโรงประมาณ สามทุ่ม น้องเซนิค  ก็จะขนผักไปส่งตามแผงต่างๆ โดยจะคิดเที่ยวละ 10 บาท บางครั้งแผงที่คุ้นเคยกัน ก็จะใช้วิธีเหมา 12 เที่ยว 100  บาท เงินที่ได้มาจะแบ่งสรรปันส่วนเอาไว้ใจและเตรียมสำหรับค่าพานะไปโรงเรียน ค่อุปกรณ์การเรียน

                สำหรับการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมน้อมเกล้ว สมุทรปราการ  ที่ไปจากโรงเรียนเดี๋ยวกันก็ไม่ติด  ตอนที่ไปดูที่บอร์ดประกาศก็ไม่มีรายชื่อเหมือนกัน  จนประกาศว่า มีเด็กต่างด้าวที่สอบติด 2 คน  คนหนึ่งเป็นเด็กประเทศอังกฤษ  กับชื่อ เด็กหญิงนิค  คุ้ง   เชื่อไหม น้ำตาหนูไหล เพราะเด็กท่าเรียนที่โรงเรียนนี้ที่เห็นส่วนใหญ่พ่อแม่มีรถมารับ เป็นลูกหลานของข้าราชการ  แต่วันนี้หนูทำสำเร็จแล้วคะ  หนูจะตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด จะไม่ยอมขี้เกียจ เพราะนี้คือโอกาสของหนู


                วันที่ไปฟังประกาศก็มอบตัวเลย  โชคดีที่ นางจารนัย เอียงอิ่ม (ครูมุ้ย) ไปมอบตัวเป็นผู้ปกครองเซ็นต์เอกสารทุกอย่างให้ มีผลการเรียน  ขึ้นบันทึกประวัติอีกครั้ง ในแบบฟอร์ใบ “089” ในระดับมัธยมศึกษา  เป็นอีกก้าวหนึ่งที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา  จ่ายค่าอุปกรณ์การเรียนไป 3,900 บาทก่อน  ซื้อชุดนักเรียนและชุดพละมาอย่างละหนึ่งก่อน  ส่วนอื่นก็ค่อย ค่อย ซื้อ  วันที่มอบตัวต้องใส่ชุดนักเรียนที่มีการปักอักษรไว้เรียบร้อย  ครูคะ หนูดีใจมากจริง จริง  สิ่งสำคัญหนูทำได้ หนูอ่าน เขียนภาษาไทยอย่างคล่องแคล่ว จนสามารถสื่อสารได้ขนาดนี้  ในอนาคตอย่างเป็นไกด์คะ   แล้วหนูก็เลือกเรียนศิลป-ภาษา  อยากพูดภาษาอังกฤษได้อีกหนึ่งภาษา


                เด็กหญิงนิค  คุ้ง  คือตัวอย่างของเด็กอาเซียน ที่เป็นกลุ่มชุดที่เข้าเมืองผิดกฎหมา
ย วันนี้กว่าจะกว่ามาถึงวันที่เข้าเรียนได้อย่างสมบูรณ์   เด็กหญิงนิคต้องผ่านการที่ต้องเข้า-ออกทั้งสถานแรกรับ สานสงเคราะห์ สถานกักกันที่สวพลู  เป็น 10 ครั้ง  ด้วยเหตุผลเดี่ยวคือแม่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกส่งกลับ   แต่น้องนิค  ไม่เคยย่อท้อ กลับตรงกันข้าม ขยันทั้งทำงาน ขยันในการเรียน อ่านหนังสือ อดทนต่อบุคคลที่ยังไม่เข้าใจเรื่องของเด็กต่างด้าว  น้องเซนิคคิดตลอดเวลาว่า นี้คือโอกาสที่เปิดให้กับเด็กอย่างพวกเขา  ขอตั้งใจเรียน ประพฤติตนในอยู่ในกรอบระเบียบ อย่าสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร  เป็นตัวอย่างที่ดีกับน้อง  ช่วยใครได้ในเรื่องการเรียนยินดีช่วยหมด  หมั่นเพียร หาความรู้และพัฒนาทักษะ  แล้วกลับมาช่วยงานครูมุ้ยและโรงเรียนวัดมหาวงษ์

                ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน  หลายคนชอบบอกว่ากลุ่มเด็กที่เคยติดตามแม่ออไปบนถนน แก้ไขให้กลับมาเป็นเด็กปกติไม่ได้  แต่สิ่งที่ครูเสนอข้างต้นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน  เด็กที่เข้าเรียนเขาตั้งใจเรียนกันอย่างมาก  และเรียนในระดับที่สูงขึ้น  เด็กทุกคนได้มีโอกาสที่ดี ในการทำงานร่วมกับคนอื่น  เด็กเหล่านี้คือพลเมืองของอาเซียนอย่งมีคุณภาพ  ในอนาคตเขาเหล่านี้จะกลับประเทศต้นทางหรืออยู่ในประเทศการ พูด อ่าน ฟัง เขียน  ก็สื่อสารกับทุกคนในประเทศไทย