banner
พุธ ที่ 3 เดือน มีนาคม พ.ศ.2564 แก้ไข admin

โควิด-19 เด็กเร่ร่อน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (ตอนที่ 2)

 

นางสาวทองพูล   บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          เมื่อประเทศไหนมีคำประกาศให้ทุกคนหยุดทำงานที่บ้าน  สำหรับครูเองพวกจะลงพื้นที่ให้ได้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ากรณีศึกษาที่เป็นเด็ก เร่ร่อนเด็กไทยถาวร/เด็กเร่ร่อนไทยชั่วคราว/เด็กเร่ร่อนต่างด้าว ต่างคนอดแทบไม่มีอะไรกิน เมื่อนักท่องเที่ยวไม่มีมา  เด็กเหล่านี้ก็ขาดรายได้  หรือเงินที่พอจะมาซื้อข้าวกิน   ก็ไม่มีเลย

          แม้แต่อาหารที่เคยมีอยู่ในถังขยะก็หาไม่ได้เลย  ชีวิตอย่างไรก็ไม่อดตายหรอกครู  เสียงเหล่านี้เคยเล่าขานให้ครูตลอดจ๊ะ  

          วันที่ 17  มีนาคม 2563  หาของอะไรได้ ครูขนขึ้นรถของตัวเองก่อนเลย  บนถนนเหมือนเมืองร้างผู้คนไปเลย  คือมีรถวิ่งไม่กี่คัน  ที่สำคัญคือการขับรถในกรุงเทพมหานคร ไม่เคยใช้รถส่วนตัว เพราะกลัวจะไปชนรถคนอื่นเขา  ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

 

จุดแรกที่ลง  คือ ชุมชนโค้งรถไฟยมราช  3 ครอบครัวที่มีลูกเยอะ และเลี้ยงเด็ก

ครอบครัว ยายเตี้ย มีเด็กกว่า 10 คน  ที่ยายต้องรับผิดชอบหลาน  สำหรับครูมีข้าวสารกรอกหม้อไว้ก่อนสำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด  หลานกินกันที่ละกาละมัง  ส่วนมากก็กินข้าวคลุกน้ำปลา  น้ำซอส  หรือบางครั้งก็มีไข่เจียวเสริม   ประทังกันไปก่อน

ครอบครัว เปิ้ล มีลูกกว่า 7 คน  คนโตออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ ร้อยพวงมาลัยขาย  บอกว่าอยากเรียน กศน.  กศน.เปิดมา 2 รอบ แล้ว  เด็กน้อยของครูก็ยังไม่ได้เรียน  แต่เด็กคนอื่นๆ  ได้ย้อนกลับไปเรียนอีกครั้ง   มีข้าวสารไว้ในหม้อที่หุงสำคัญมาก   ลูกฉันมันกินข้าวทีละกาละมัง   แม่เปิ้ลพูดถึงลูกๆ  แบบเห็นภาพเลยค่ะ

ครอบครัว ปุ๋ยดูแลหลาน กว่า 10 คน 3 ครอบครัว ครอบครัวของพี่ชาย/ครอบครัวตัวเอง/และครอบครัวของน้องสาว   ต่างคนที่เป็นหลักไปเที่ยวไกลถึง ฮ่องกง (เข้าเรือนจำ มีข้อหาลักทรัพย์/ติดยาเสพติด) ต่างคนต่างมีหน้าที่ ที่ตัวเองกระทำรับกรรมกันไป  แต่เด็กเหล่านี้ก็ต้องมาอยู่รวมกัน  มีอะไรก็แบ่งกันกินตามยถากรรม  บางครั้งก็หิวจนตาหลายไปเลย  กินกันแต่น้ำ

สำหรับครอบครัวที่มีเด็กอยู่ในความดูแล  ครูรีบจัดการไม่ให้อดก่อน

 

จุดที่สอง คือ ใต้ทางด่วนสุขุมวิท 1  มีครอบครัวไทย/ครอบครัวต่างด้าว และมีเด็กเร่ร่อนวัยรุ่นสลับกันมาอยู่ด้วยจำนวนกว่า 21 คน

-ครอบครัว อุ้ม กับ กร  ที่อาศัยตอม่ออยู่  มีลูกกับคนกร 2 คน น้องปอ กับน้องแป้ง  และมีลูกที่ติดกับนางอุ้มมาอีก 3 คน เป็นเด็กผู้ชายที่เร่ร่อนพร้อมเพื่อนๆ ที่มีการย้ายตัวเองไปเรื่อยๆ  แต่เมื่อโควิด-19 มาเด็กเร่ร่อนวัยรุ่นเหล่านี้ เคยขอเงินนักท่องเที่ยว  ต้องผันตัวเองออกไปเก็บขยะ หรือแกะเส้นสายไฟ ที่ได้มาประทังชีวิต   อาหารที่ได้กินคือ เมื่อครูลงมาจะหอบหิ้ว ข้าวสาร/อาหารแห้ง  ครั้งนี้ลงอาหารไว้ 5 ชุดก่อน  เพราะยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยาวนานแค่ไห

-ครอบครัวน้องอาทกับน้องเมย์  มีลูกเล็กอายุ 7 เดือน  มาสร้างบ้านอยู่บนพื้นดินโดยใช้ไม้รองเป็นที่นอน ปูด้วยแผ่นไม้อัด  ล้อมเป็นห้องด้วยแผ่นพลาสติด  มีที่นอนที่เก็บมาได้  ไม่มีห้องครัว แต่ในห้องมีเศษถุงพลาสติคเต็มไป  หน้าห้องที่พักก็เต็มไปด้วยเศษขยะ  ตัวเด็กเองก็ต้องนอนกับแม่อยู่ในห้องพัก  สิ่งสำคัญทำให้มีอาหารกินอย่างน้อย วันละ 1 มื้อ

-เด็กเร่ร่อนวัยรุ่นที่สลับกันมาอยู่ อย่างน้อยต้องมีอาหารวันละ 1 มื้อ  เด็กเหล่านี้มาอาศัยที่นอนที่ใต้ทางด่วน  อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน


จุดที่สาม ที่ครูคำนึงเป็นอย่างมาก คือครอบครัวของน้องฝน แม่ชื่อดา มีลูก 6 คน

-ด้วยครอบครัวนี้ ไม่สามารถหารายได้เลย เพราะงานทุกอย่างหยุดหมด  แม่เคยทำงานที่ตลาดสำโรง คือการเข็นผัก แต่เมื่อเกิดโควิด-19 ตลาดปิดไม่มีการเคลื่อนไหว  ทุกคนอยู่แต่ในห้องพัก  ออกจากพื้นที่ เพราะต้องห้าม  รายได้ไม่มีแต่ทุกวันต้องจ่ายต้องกิน

-สำหรับเด็ก จำนวน 4 คน ที่ต้องเรียนหนังสือ  ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง  แต่คนเราก็ต้องกินวันละ 3 มื้อ 

-สำหรับการศึกษา พี่คนโต กำลังจบ ม.3  ซึ่งต้องหาที่เรียน  ลูกคนโตอยากเรียนต่อพณิชยการ  ซึ่งค่าเล่าเรียนแพงมาก  ทางครอบครัวเองไม่มีค่าเล่าเรียนแน่นอน  สำหรับครูเองก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากให้เด็กได้เรียน  เพราะมีประสบการณ์ในการเรียนเพราะใช้เองจำนวนมาก

-สำหรับน้องคนที่สอง  กำลังจะจบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต้องเรียนต่อ  การรับสมัคร การสอบเรียนต่อ  เป็นสิ่งที่สับสน  ความต้องการของเด็กอยากเรียนเหมือนเด็กทั่วไป  แต่ความเป็นจริงคือเด็กต่างด้าวที่ไม่มีเอกสาร  และเด็กเองก็ไม่กล้าที่จะไปสมัครเรียนเอง

สำหรับครอบครัวนี้คือการพยุงให้ผ่านพ้นไปด้วยดี  อยู่รอดปลอดภัย  พร้อมการให้คำปรึกษาในการดำเนินชีวิต

สิ่งเหล่านี้คือจุดเริ่มต้น  ที่ครูต้องมาปรับโครงการครูข้างถนน และโครงการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ 

ทุกอย่างต้องเริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่อง