banner
จันทร์ ที่ 15 เดือน กรกฏาคม พ.ศ.2562 แก้ไข admin

สถานการณ์ของเด็กเร่ร่อนไทย/เด็กเร่ร่อนต่างด้าว..กับ บทบาทของสมาชิกวุฒิสภา ตอนที่ 2

 

นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          เมื่อหน่วยงานภาครัฐที่ทำงานช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนไทย/เด็กเร่ร่อนต่างด้าว  องค์กรพัฒนาเอกชนก็มีบทบาทในการทำงานที่ทุ่มเทช่วยเหลือคนบนถนนเช่นเดียวกัน

          1.องค์กรเพื่อน เพื่อน ประเทศไทย (องค์กรเฟรนด์ ) เป็นองค์กรระหว่างประเทศ  ที่มาดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือเด็กกัมพูชาในประเทศไทย และเด็กด้อยโอกาสในประเทศไทย  ซึ่งดำเนินการในประเทศไทยประมาณ 10 ปี  มีการรับทุนจากยูนิเซฟ องค์กร child Hope  เป็นต้น

          -มีทำงานในประเทศ 2 แห่งด้วยกัน คือกรุงเทพมหานคร กับ จังหวัดสระแก้ว

          -งานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก คืองานพื้นที่โดยการสำรวจพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร  และการทำงานกับชุมชน กับกรณีเด็กไทย

          -งานปกป้องคุ้มครองมีงานที่ทำงานกับอาสาป้องกันเด็ก เช่น วินมอเตอร์ไซด์ รถรับจ้าง และร้านค้า ที่ส่งเสริมงานป้องกัน  กลุ่มจิตอาสา

          -งานสนับสนุนเด็กคือมีทุนการศึกษาสำหรับเด็ก และทุนศึกอาชีพสำหรับผู้ปกครอง และมีร้านอาหารที่ฝึกเด็กทำงาน

                   สำหรับสถานการณ์เด็กไทยออกจากระบบโรงเรียนเยอะมาก โดยเฉพาะเด็กในขุมชน  โดยมาจากผู้ปกครองไม่มีค่าใช้จ่ายให้เด็ก  ส่งผลให้เด็กเหล่านี้ออกมาจากระบบการศึกษา

          2.มูลนิธิคุณพ่อเรย์  บ้านเด็กพระมหาไถ่  เป็นองค์กรที่ตั้งอยู่ พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีงานภาคสนามอยู่ภายใต้ของมูลนิธิด้วย  สถานการณ์ของเด็กเร่ร่อนในพัทยา

          -เด็กมีการเคลื่อนย้ายกันเร็วมาก ด้วยเหตุผล คือ การเคลื่อนตัวของเด็กเร่ร่อนที่เข้ามาในพัทยา มีทั้งกลุ่มที่เดินทางมาคนเดียว กับกลุ่มที่เคลื่อนตัวมากับครอบครัวที่มาขอทาน  หรือบางกลุ่มมาเพื่อที่จะเดินทางต่อมายังกรุงเทพมหานคร

          -ปัญหาของเด็กเร่ร่อนในพัทยาเองมีความซับซ้อนของปัญหาเพิ่มมากขึ้น  ด้วยเหตุผลว่า เด็กเองก็ประเมินไม่ได้ว่า เป็นเด็กเร่ร่อนไทย หรือเด็กเร่ร่อนต่างด้าว

          -เด็กที่ไม่มีเอกสารแสดงตัวตน ซึ่งเป็นทั้งเด็กไทยที่ยังไม่มีการพิสูจน์กับเด็กต่างด้าวที่มีพ่อเป็นคนต่างชาติ แม่เป็นคนไทย จำนวนหนึ่งที่ไม่มีเอกสารแล้วเด็กทิ้งอยู่ในประเทศไทย  แต่เด็กบางคนทั้งพ่อและแม่เป็นคนต่างด้าวทั้งคู่เมื่อมีปัญหาขึ้นมาก็ทิ้งเด็กไว้กับคนเลี้ยง 

          3.มูลนิธิบ้านครูจา  สำนักงานอยู่พัทยา จังหวัดชลบุรี  ซึ่งในการทำงานของมูลนิธิบ้านครูจา มีงานที่ติดตามช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนที่ถูกละเมิดโดยชาวต่างชาติในการติดตามคดี   และมีงานบ้านที่รองรับเด็กเร่ร่อนที่ถูกละเมิดทางเพศ  สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเร็วมากสำหรับเด็กกลุ่มนี้

          -เด็กเร่ร่อนที่ถูกล่อลวงในการถูกละเมิดทางเพศ จากชาวต่างชาติมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เป็นจำนวนหลายร้อยคดีด้วยที่ต้องติดตาม และต้องทำงานกับตำรวจสากล  และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ  สิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่หม้ายที่มีลูกติดเป็นลูกผู้หญิง  คนต่างชาติจะมีการล่วงละเมิดลูกเลี้ยงที่เกิดขึ้นในพัทยาจำนวน กว่า 30 คดี  ซึ่งผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติทั้งสิ้น



          -เด็กเร่ร่อนวัยรุ่นช่วงอายุ 12-18 ปี ที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตนเอง จะหมกตัวอยู่ในร้านเกม  ร้านเกมตอนนี้เปรียบเสมือน แหล่งก่ออาชญากรรม เพราะเปิดรูปแบบทั้งวันทั้งคืน พร้อมมีโปรโมทชั่นให้กับเด็กเร่ร่อนวัยรุ่น เช่นเหมาทั้งวันและคืน แถมมาม่าให้สองซอง  มีน้ำร้อนและมีขนมขายให้ตลอดเวลา  เมื่อเด็กและเยาวชนเงินหมด จะให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นทำงาน ตั้งแต่การไปกับแขกชาวต่างชาติ (จะมีชาวต่างชาติซื้อขายบริการทางเพศ ผ่านไลน์กรุ๊ปลับเฉพาะ  นัดกันที่ห้องพัก หรือสถานที่ตกลงกัน)  เดินยาเสพติดให้กับนักท่องเที่ยว เอาของไปฝาก ตามสถานที่ต่างๆ  บางคนก็เป็นผู้จำหน่ายเองเลย ร้านเกมเป็นเพียงทางผ่านในการนัดแนะกัน  

          -เด็กนักเรียนออกจากโรงเรียนกลางคันมากขึ้นโดยเฉพาะเด็กหญิง  เมื่ออกจากโรงเรียนเด็กจะจับกลุ่มมั่วสุม จนกลายมาเป็นแม่เล้าจิ๋ว  แล้วมีเครือข่ายในสังกัดของคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจำนวน 3-7 คน กระจายตัวในพัทยา โดยการใช้กาติดต่อผ่านมือถือทางไลน์ และเฟคบุซส่วนตัวของเด็กเอง  ราคา ของเด็ก ตั้งแต่ 2,000-3,000 บาท

          -ในขณะนี้ที่พัทยาเป็นแหล่งผลิตสื่อลามกจำนวนมาก  และเผยแพร่สื่อที่ล่วงละเมิดเด็กชายและเด็กหญิงแล้วนำไปขายให้กับชาวต่างชาติ  และในขณะเดียวชาวต่างชาติใช้พัทยาเป็นแหล่งติดต่อการขายภาพลามกของเด็กให้กับชาวต่างชาติกันเอง  กระบวนการทำงานต้องใช้ทีมสหวิชาชีพเข้ามาร่วมในกรณีที่เด็กตกเป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์  ปัญหาที่พบคือไม่สามารถดำเนินกับชาวต่างชาติที่ก่อคดีได้ทันท่วงที  เพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะออกจากประเทศรวดเร็วมาก 

 

          4.มูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล  มีคุณสำราญ อรุณธาดา และ ครูนาง  ในขณะนี้งานที่ดำเนินการ ได้แบ่งงานออกเป็นบ้านที่รองรับเด็กมีจำนวน 3 หลัง มีงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีงานชุมชนแม่บ้าน  มีงานด้านสิทธิเด็ก และแผนกงานครูข้างถนน  ปัญหาที่พบในการดำเนินงานช่วยเหลือ

          -เรื่องเด็กเร่ร่อนติดเกมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เด็กใช้ชีวิตที่เสี่ยงเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว หรือตนเอง ตั้งแต่การขายยาเสพติด การลักขโมย  และการรับจ้างติดคุก  ในพื้นที่สะพานพุทธ  และบางคนก็กลายเป็นครอบครัวเร่ร่อน ถึงแม้จะมีลูกเข้าเรียนก็ตามจำนวนกว่า 7 ครอบครัว

          -เด็กที่เข้ามาสู่บ้านของมูลนิธิฯแล้ว ยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียน  หรือบางคนหาครอบครัวของเด็กก็ไม่พบ ทำให้เด็กไม่มีสิทธิใดๆทั้งสิ้น  เมื่อเวลาเจ้ฐป่วยขึ้นมาทางมูลนิธิฯต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเต็ม

          -เด็กที่ดูแลอยู่ในขณะนี้จำนวนหนึ่ง ที่มาปัญหาเรื่องการเรียนรู้บกพร่องสมาธิ(LD)  การศึกษาจึงไม่ใช่คำตอบสำหรับเด็กกลุ่มตามระบบในโรงเรียน  ทางมูลนิธิฯได้ดำเนินการเปิดการเรียนการสอน โดยใช้หลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน  แต่ต้องให้เด็ก อ่าน ออก เขียนได้ก่อน

          -สำหรับเด็กที่ร้องขอให้ทางมูลนิธิฯช่วยเหลือ คือกลุ่มเด็กที่ค้างเงินค่าอุปกรณ์การเรียน หรือเงินสนับสนุนให้โรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนสำหรับมาก  ที่ทางโรงเรียนไม่ให้เอกสารการเรียนจนกว่าผู้ปกครองหรือหน่วยงานต้องจ่ายให้ครบ   จึงเป็นปัญหาเด็กไม่สามารถไปเรียนต่อยังโรงเรียนอื่นที่เหมาะสมกับเด็ก  ทำให้เด็กบางคนต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน  แนวทางแก้ไขจึงต้องหารือทางออกกับศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือนักเรียน ของกระทรวงศึกษาธิการ


          -เด็กที่ดูแลในชุมชน เด็กบางคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยตกเป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่ ให้เด็กถูกจับ เพราะผู้ปกครองคิดว่าใช้เด็กแล้ว เด็กไม่มีโทษ เพียงแต่เด็กเข้ารับการฝึกอบรม  และเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี  เด็กไม่ต้องรับโทษ  จึงใช้เด็กเป็นเครื่องมือจำนวนมาก  ทำให้เด็กออกจากโรงเรียนกลางคัน  หรือบางครอบครัวที่เด็กต้องอยู่ตามลำพัง เพราะพ่อแม่ติดคุกเนื่องจากขายยาเสพติด

          -การท้องไม่พร้อมที่เกิดขึ้นกับเด็ก ที่ทางมูลนิธิฯดูแลอยู่ในชุมชน  จะเกิดขึ้นมาก แล้วส่งผลกระทบให้เด็กเหล่านี้ออกจากโรงเรียนกลางคัน  แล้วกลายเป็นครอบครัววัยรุ่นที่ไม่พร้อมที่จะดูแลลุกของตนเอง

           5.มูลนิธิบ้านนกขมิ้น  มีจำนวนครอบครัวที่ดูแลเด็ก กว่า 22 ครอบครัว กว่า 6 จังหวัด โดยการใช้ลักษณะของครอบครัวที่ดูลูกของตัวเองจำนวน 2 คน และเด็กเข้ามาในครอบครัวละ 12 คน โดยเด็กที่เข้ามาอยู่ในมูลนิธิฯ คือกลุ่มเด็กเร่ร่อน เด็กยากจน เด็กกำพร้าที่ถูกส่งออกมาจากสถานสงเคราะห์ของรัฐ  เด็กที่ร้องขอความช่วยเหลือ โดยเฉพาะที่เก็บขยะ ไม่มีบ้านในชุมชนแออัด  เด็กทุกคนจะมีครอบครัวของตัวเด็กเอง  เด็กได้เรียนหนังสือตามโรงเรียนต่างๆ  เด็กได้พัฒนาหลักการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาที่เด็กนับถือ  แต่มีปัญหาที่พบ

          -หน่วยงานของกรมกิจเด็กและเยาวชน ที่ต้องให้หน่วยงานหรือบุคคลที่ดูแลเด็ก เกิน 6 คนขึ้นไปต้องขึ้นทะเบียน เป็นสถานสงเคราะห์  และมีหลักปฏิบัติที่เน้นแต่เรื่องของอาคารสถานที่ ที่พัก  แต่ไม่ได้ลงมาทำงานส่งเสริมการทำงานด้วยกัน หรือลดค่าใช้จ่าย  ให้หน่วยงานองค์กรเอกชนที่กำลังประสบปัญหาเรื่องงบประมาณในการดำเนินการ

          -ทางมูลนิธิบ้านนกขมิ้น มีโครงการที่รับบริจาค ของที่ไม่ใช้ในแต่ละครอบครัว ทางมูลนิธิฯ  แปรมาเป็นเงินหรือสิ่งของที่จำเป็นลงไปช่วยเหลือครอบครัวของเด็กที่ยากจนในชุมชน  ครอบครัวที่ไม่มีที่อยู่อาศัย และเน้นฝึกเด็กนำสิ่งของเหล่านี้จัดเป็นตลาดนัดแลกเปลี่ยนสินค้า

          -สถานการณ์ในการแจ้งข้อมูลขอความช่วยเหลือมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ที่อยู่ในชุมชนต่างๆ  ครอบครัวที่เคลื่อนย้ายไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง  ส่งผลให้เด็กไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ และการรักษาพยาบาลเมื่อเด็กเจ็บป่วย  ทำให้เด็กไม่ได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เด็กอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในชุมชนแออัดที่ไม่มีเอกสารแสดงตัว  ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ตายายของเด็ก

 

          6.มูลนิธิสายเด็ก 1387   บ้านเดอะฮับ สถานที่ตั้งอยู่ที่หัวลำโพง บริการให้กับเด็กเร่ร่อนวัยรุ่น โดยมีการฝึกอาชีพ การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ส่วนมากเด็กและเยาวชนที่มาใช้ที่เดอะฮับเป็นกลุ่มเด็กที่เคยอยู่ในสถานสงเคราะห์ มาก่อน แต่หนีออกจากหน่วยงาน หรือมีเด็กบางคนที่ออกมาจากของเด็กและเยาวชน  มีจำนวนถึง 125 คนที่กระจายตัวกันรอบพื้นที่หัวลำโพง  สภาพปัญหาที่พบ

          -เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งไม่มีเอกสารแสดงตัวของเด็กและเยาวชนเอง  ส่งผลให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียนแล้วออกจากโรงเรียนและหน่วยงานที่เด็กเคยอาศัยอยู่  แต่พอโตขึ้นมามีปัญหาเรื่องการแสดงตัวตนว่าเป็นเด็กไทยหรือเด็กต่างด้าว  ทำให้เด็กกลุ่มนี้เข้าไปเกี่ยวข้องยาเสพติด การก่ออาชญากรรม ลักทรัพย์ ลักขโมย จนถึงการรวมตัวปล้นทรัพย์สินผู้อื่น   จนถึงการรับจ้างติดคุก เป็นต้น

          -เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งเข้าไปสู่การขายบริการ  เมื่อเริ่มเจ็บป่วยเด็กทุกคนจะมีความวิตกกังวลในเรื่องการติดเชื้อเอดส์   แต่เด็กเองก็ไม่ใส่ถุงยางอนามัยในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ทั้งเด็กและเยาวชนหญิง-ชาย  ทำให้มีการระบาดเกี่ยวโรคความสัมพันธ์ทางเพศ  มีการค้าประเวณีอย่างเปิดเผย

 

ข้อเสนอแนะจากสมาชิกวุฒิสภา

            1.ต้องการอยากให้มีการถอดบทเรียน นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ (ครูหยุย) ในการเริ่มต้นงานช่วยเหลือเด็กข้างถนน  เพื่อให้เห็นตัวอย่างในการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบการช่วยเหลือด้วยความหลากหลายวิธีการ  ตลอดจนการเชื่อมทำงานทั้งภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน จนเป็นเครือข่ายในการทำงาน ตลอดจนการส่งต่อกรณีศึกษาที่เหมาะสมกับหน่วยงานต่างๆ

          2.แนวทางแก้ไข สำหรับเด็กเร่ร่อนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก  การทำงานกลุ่มนี้ต้องใช้วิธีการหลากหลายเห็นที่ต้องมีงบประมาณในการพัฒนาตัวเด็ก การพัฒนาครูทั้งในด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การส่งตัวกรณีศึกษา เพื่อให้มีทางเลือกทางรอด การทำเอกสารแสดงตัวตนให้กับเด็ก  ตลอดจนการมีนโยบายที่ชัดเจนในการทำงานตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดตาม เอาสารความคิดเห็นทั่วไปฉบับที่ 21 ว่าเด็กเร่ร่อนบนท้องถนน

          3.ความสำคัญและการมีตัวตนของเด็กเร่ร่อนและเด็กกลุ่มที่ว่า เด็กเร่ร่อนไทยจำนวน 30,000 คน  เด็กเร่ร่อนต่างด้าว 20,000 คน รวมเป็น 50,000 คน  ตัวตนอยู่ที่ไหน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรพัฒนาเอกชน  ทางหน่วยงานภาครัฐว่ามีเด็กกลุ่ม เท่าไรที่ดูแลได้ ยกตัวอย่าง ข้อมูลจากกรมกิจการเด็กและเยาวชนดูแลเด็กที่เข้าสถานสงเคราะห์ทั้งหมด จำนวน 4,323 คน  แล้วเด็กอื่นอาศัยอยู่ที่ไหน และหน่วยงานไหนดูแลเท่าไร  จำนวนเด็กเร่ร่อนเหล่านี้จะมาคิดเป็นเงินงบประมาณที่ดูแลเด็กได้ เน้นการกระจายเงินและกระจายการทำงานที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล  ในการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาช่วยเหลือเด็กกลุ่ม


          4.ต้องมีการอธิบายภาพรวมของเด็กกลุ่มนี้พร้อมเด็กกลุ่มเสี่ยง ที่เป็นเชิงสถิติและหน่วยงานที่ดำเนินการช่วยเหลือ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐเห็นความสำคัญ  โดยเฉพาะในเรื่องงบประมาณที่ต้องการให้เด็กเหล่านี้พัฒนาเป็นทรัพย์กรของประเทศ ต้องใช้เงินเป็นรายบุคคลต่อเดือน ต่อปี เท่าไร  เน้นไปที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์   ต้องมีข้อมูลและสถิติจนกระบวนการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ

          5.หน่วยงานหลักตามกฎหมายที่ดูแลเด็กเร่ร่อน เด็กกลุ่มเสี่ยงต้องมีแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเด็ก พัฒนาบุคลากรที่ทำงานด้านนี้อย่างชัดเจนในด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับพัฒนาบุคลากรในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานของแต่ละหน่วยงาน จนถึงการศึกษาดูงานของประเทศในอาเซียน เน้นการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ เพราะมีเด็กเร่ร่อนในอาเซียนมาอยู่ในประเทศ   และต้องจัดสรรงบประมาณสนับสนุนองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดูแลเด็ก ภาคประชาสังคม  เพิ่มคนทำงานด้านนี้ให้เพิ่มมากขึ้น

          6.หลักการบูรณาการในการทำงานช่วยเหลือของทั้งภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน คือการระดมทุน ทรัพย์กร ของธุรกิจ เอกชน โดยใช้ระบบภาษีเป็นแรงจูงใจ  เพื่อนำเงินเหล่านั้นมาร่วมในการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งนำพนักงานของบริษัทเหล่านั้นมาเรียนรู้ชีวิต  แลกเปลี่ยนการใช้ชีวิตในสังคม

          7.เด็กและเยาวชนเร่ร่อนไทย/เร่ร่อนต่างด้าว  ทำอย่างไรที่จะให้เข้าถึง “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา”  ตามพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561  เน้นช่วยเหลือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายเรื่องเด็กเร่ร่อน เด็กกลุ่มเสี่ยง เด็กพิการ  ตลอดจนเด็กที่ยากจนพิเศษ

          8.การทำงานระหว่างประเทศโดยเฉพาะเมื่อเป็นเด็กเร่ร่อนต่างด้าว กลุ่มที่ต้องส่งกลับประเทศ  ทุกประเทศในอาเซียนควรที่จะมีการลงบันทึก MOU ในการส่งคืนประเทศต้นทาง เพราะต้องทำงานเพื่อพัฒนาเด็กด้วยกัน  เด็กเหล่านี้คือพลเมืองอาเซียนที่ต้องมีคุณภาพทางการศึกษา  โดยการใช้กลไกปฏิญญาอาเซียน เพราะได้มีสร้างเครือข่ายความคุ้มครองเด็กอาเซียน  เพื่อมุ่งเน้นให้เด็กทุกคนได้รับผลประโยชน์สูงสุดในการใช้กลไก

         

          จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนในครั้งนี้  สมาชิกวุฒิสภาทุกท่าน ได้ให้กำลังครูข้างถนนทุกท่าน  ตลอดจนหน่วยงานต้นสังกัดที่ต้องทำให้เกิดขึ้นเป็นจริง โดยเฉพาะการดูแลเรื่องสวัสดิการของคนทำงานครูข้างถนน  การแลกเปลี่ยนการทำงานแบบเครือข่าย ครูหยุยเน้นย้ำว่า  เครือข่ายของคนทำงานช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน เป็นเครือข่ายที่เข็มแข็งในการทำงานช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน  เพราะงานหนัก เงินเดือนน้อย  แต่ทุกคนก็ยังทำงาน

          นายกุลธร  เลิศสุริยะกุล  ประธานเครือข่ายคนทำงานด้านเด็กเร่ร่อน เป็นคนพูดคนสุดท้าย  กล่าวขอบคุณข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์  จากทุกท่าน เพราะงานด้านเด็กเร่ร่อนที่ ได้มีโอกาสสัมผัสเมื่อ 30 ปีที่แล้ว  วันนี้มีปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาให้เด็กเร่ร่อน  ทางเครือข่ายฯกำลังจะร่วมทำงานแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อนในกรุงเทพ  ผ่านงานและงบประมาณ ทาง “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา”

          ครูหยุย กล่าวขอบคุณอีกครั้ง และจะพบกันอีกหลายครั้งในการทำงานด้วยกัน  เพื่อให้เด็กเร่ร่อนได้มีที่ยืน  และใช้กลไกทางกฎหมายให้เด็กได้โอกาสคืนสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม อย่างปราณีต