banner
ศุกร์ ที่ 22 เดือน กรกฏาคม พ.ศ.2559 แก้ไข admin

เด็กเร่ร่อน.....จากชุมชนกีบหมู


นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

สำหรับเด็กเร่ร่อนที่ชุมชนกีบหมู ซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2559 ถึงวันนี้ 17 กรกฎาคม 2559 หนึ่งเดือนเต็ม โดย คุณนีน่า(นามสมมุติ)ได้โทรมาแจ้ง ว่ามีเด็กเร่ร่อนจำนวนสามคนมานอนที่หน้าสะดวกซื้อ ปากซอยปัญญา-อินทรา  เลขที่ 7284

เด็กอยู่ในช่วงอายุ 12-14 ปี นอนอยู่กับพื้นที่ร้านสะดวกซื้อ เด็กจะมาประมาณ 21.00 น. หรือบางคืนก็จะมาดึกกว่านั้น  มาขอเงินนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวผับ-เหล้า ที่ข้างร้านสะดวกซื้อ  และเปิดถึงประมาณตีสาม-ตีสี่  หลังจากนั้นเด็กก็จะมารวมตัวกันนอนที่หน้าร้าสะดวกซื้อ  ซึ่งในช่วงเช้าร้านสะดวกซื้อแห่งนี้จะมีคนพลุกพล่าน เข้า-ออกร้านจำนวนมาก บางคนก็ใจดีซื้ออาหาร ซื้อน้ำเอาไว้ให้เด็กหรือบางคนก็ให้เงิน

คุณนีน่า และผู้จัดการ้านสะดวกซื้อ เคยแจ้งเรื่องเด็กทั้งสามคนไปหลายหน่วยงานแล้ว แต่ไม่มีหน่วยงานใดลงพื้นที่ หรือดำเนินการอย่างไร  ทางตำรวจเคยมาเตือนสอง-สามครั้งเกี่ยวกับการไปนอนที่หน้าร้านสะดวกซื้อ จึงได้โทรแจ้งมายังมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก


  

สิ่งที่ทางโครงการครูข้างถนน ดำเนินการไปแล้ว

(1) ลงไปหาเด็กตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2559 ลงพื้นที่ตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึง สี่ทุ่มโดยผู้แจ้งเคส คุณนีน่า ลงเป็นเพื่อนพร้อมขับรถตระเวนหาเด็ก คืนนั้นได้แต่สร้างอาสาสมัคร เจ้าของร้านสะดวกซื้อ พร้อมพนักงาน ทุกคนเห็นความสำคัญเหมือนกันหมด

ร้านก๋วยเตี๋ยว ชื่อน้องเก๋ น้องเก๋เคยเอาเด็กชายพละพล สุขเกษม ไปนอนที่บ้านพยายามให้ยุติการเร่ร่อน พาไปตัดผม อาบน้ำ ส่งบ้านที่สุเหร่าคลองหนึ่งซอย 3 เด็กอยู่กับแม่และน้องสาว(ซึ่งเคยเร่ร่อนพร้อมพี่ชายมาระยะเวลาหนึ่ง ตอนนี้หยุดชั่วคราว น้องเรียน ป.5 คณะครูช่วยกันดูแลอย่างดี เพื่อไม่ต้องการให้เด็กหลุดจากบ้าน ส่วนน้องหนึ่งเรียนไม่จบ  น้าเก๋ของเด็กเร่ร่อน ได้เล่าต่อว่า ตอนแรกกลุ่มนี้ยังเล็กออกมาเร่ร่อนแบบนี้ตั้งแต่สามปีที่แล้ว  พ่อแม่เด็กเคยตาม แต่เด็กไม่ยอมอยู่บ้าน  กลางคืนก็พากันมาเดินมาจากชุมชนกีบหมู ประมาณ 5-6 กิโลเมตร แวะร้านสะดวกซื้อที่สี่แยกลำกระโหลก  ซึ่งที่นั้นมีตลาดอยู่ด้วย พอหากินได้บ้างจากร้านค้า เดิมมีห้าคนก่อน คนโตประมาณ 14 ปี แต่ปัจจุบันน่าจะ 17 ปี  ชื่อ นายไผ่ (เหมือนเป็นหัวหน้า ชอบพาน้อง น้องอีก 4 คน คือ ดช. แบงค์(เป็นเด็กชาวกัมพูชา) ด.ช.หนึ่ง  ,ด.ช.เล็ก  ด.ช.ด้อม(แม่กับพี่สาวมาตามกลับบ้านไปแล้ว แต่ยังมีบางวันที่ออกมา เป็นครั้งคราว)  นายไผ่ เพิ่งโดนจับครั้งสุดเพราะไปลักของที่โลตัส  และ ที่แฟชั่นไอร์แลนด์  ถูกส่งเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานคร(บ้านเมตตา)  

-น้าเก๋ของเด็ก เป็นกังวลกับเด็กกลุ่มนี้มาก เพราะเคยขับรถ มอเตอร์ไซด์ไปส่งปากซอยทางเข้าบ้าน ทั้งบ้านเจ้าหนึ่ง และบ้านเล็ก  แต่ไม่ทราบว่าบ้านหลังไหน ในช่วงกลางคืนที่เด็กหิว น้าเก๋จะให้เด็กช่วยทำงานเก็บร้านก๋วยเตี๋ยว  เก็บเก้าอี้  เช็คถู กวาดขยะ  เด็กก็ ช่วยงานเป็นอย่างดี  แลกกับการกินก๋วยเตี๋ยว

-ข้อกังวล คือเด็กทั้งสามคน เริ่มขอเงินจากนักท่องเที่ยว ซึ่ง นักท่องเที่ยวเหล่านี้  จะมีการกินเหล้ากันทุกคน บางคนก็มียาเสพติด ด้วย นักท่องเที่ยวบางคนก็ส่งเหล้าให้เด็กด้วย เด็กก็กินอย่างสนุกสนาน ไม่ได้คิดอะไรมาก  กินแล้วก็หลับยาวไปเลย

-เด็กชายแบงค์(ชาวกัมพูชา)หนึ่งในสาม เริ่มสูบบุหรี่ กลายเป็นว่า ตอนนี้ทุกคนเป็นห่วงเรื่องยาเสพติดกับเด็กเป็นอย่างมาก เพราะกำลัง เป็นวัยรุ่นกำลังอยู่ในช่วงทดลอง  


  

(2) ทางโครงการครูข้างถนน ลงพื้นที่อีกครั้งเป็นครั้งที่สอง  เมื่อ วันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ถึงพื้นที่ร้านสะดวกซื้อที่ปากซอยปัญญา-อินทรา ตั้งแต่เวลา 7.00 น จนถึง 11.00 น. เด็กทั้งสามคนถูกลูกค้าร้านสะดวกซื้อไล่ออกจากหน้าร้านสะดวกซื้อเพราะทำให้ภาพพจน์ของร้านได้คะแนนความสะดวกและดึงดูดใจลูกค้าน้อยลง ถึงแม้สินค้าจะขายได้มากก็ตาม 

-เจ้าแบงค์ ไปนอนที่หน้าร้านอาหารครัว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านสะดวกซื้อ โดยนอนคลุกกับพื้น ใครที่ขับรถผ่านก็ต้องมองทุกคน เพราะการนอนของแบงค์เปิดเผยมาก และท่านอนแบบเหยียดยาว กับพื้น  บางครั้งก็กลิ้งลงมากับพื้นถนน มีทั้งแมลงวันตอมตามตัวตามหัวเต็มไปหมด 

-เจ้าเล็กข้ามฝั่งไปนอนที่แมควาลู ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน หลังร้านมีกองขยะ กองกระดาษ กองลัง พอเป็นที่นอนได้  พอตื่นขึ้นมาก็แวะมาปลุกเจ้าแบงค์  เดิมมีคนมาปลุกก่อนหน้านี้แล้วเป็นเจ้าของร้านขายน้ำ แต่ไม่ยอมตื่น

-เจ้าหนึ่งไปหลังหลังร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเจ้าหนึ่งตัวเล็กจึงนอนโดยคนไม่เห็น  แล้วเจ้าเล็กไปปลุกมาร่วมกันหน้าร้านอาหารครัว

-ครูได้ซื้ออาหารไปไก่ย่าง ข้าวเหนียว พร้อมน้ำเปล่าสามขวดเอาไว้ให้ เมื่อนอนเต็มตื่นก็ได้กินและได้มีโอกาสพูดคุยกัน ได้ถามไถ่ว่าออกมาเร่ร่อนตั้งแต่เมื่อไร  จึงต้องไล่กันที่ละคน  ซึ่งเด็กแต่ละก็ยังไม่บอกความจริง แต่เด็กรู้ว่ามีครูจิ๋วลงมาเยี่ยม ลงมาถามหา เพราะน้าเก๋ได้เล่าให้ฟัง เด็กจึงรู้จักครูมาก่อนแต่เพิ่งได้เห็นหน้ากันวันนี้ เด็กให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีที่ได้พูดคุยกันในวันนี้ เริ่มต้นจาก


  

เด็กชายแบงค์ (ชาวกัมพูชา) อายุประมาณ 14 ปี รูปร่างผอม ในตาเศร้ามาก  บอกว่าแม่เป็นชาวกัมพูชา ได้ย้ายบ้านหนีไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่พ่อยังอยู่ ต่อมาปีนี้ พ่อย้ายไปตอนต้นปี แล้วบ้านที่พ่อเช่าอยู่ตอนนี้มีคนมาอยู่  จึงไม่เหลือใครเลยในชุมชน  เด็กบอกว่าแต่ก่อนตอนที่แม่อยู่แม่จะเอาไปทำงานด้วย ในปัจจุบันอาศัยบ้านเด็กชายหนึ่ง บ้านเด็กชายเล็ก อาบน้ำ เอาเสื้อของเขามาใส่  ส่วนอาหารการกินก็อาศัยขอทานหรือบางครั้งก็อด  หรือบางครั้งก็อาศัยนอนที่ร้านเกมส์


เด็กชายเล็ก ชื่อจริง(เด็กชายชาตรี กิมแซ่)  อายุ 13 ปี จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกแต่เพียงว่าพ่อแม่ไม่รัก พ่อชอบตี พี่ชายชอบตี มีพี่น้องห้าคน เป็นลูกคนที่สาม ใครก็ไม่สนใจ อ่านหนังสือไม่ออก เขียนได้บ้างเป็นครั้งคราว ลักษณะตัวอ้วนใหญ่ ผมยาว แบบปล่อยไปตามยถากรรม  มีกลิ่นตัวการไม่อาบน้ำมาหลายวัน  จึงบอกว่าคนสาปแบบนี้เหมือนคนไม่มีครอบครัว  อยากเป็นเร่ร่อนพเนจรหาที่ซุกหัวไม่ได้ใช่ไหม  มีปัญหาอะไรทำไมไม่คุยกับครอบครัว  เธอยังมีครอบครัวห่วงใยอยู่นะ คนที่เขาไม่มีครอบครัวเขาก็อยากมีใครสักคนดูแลเขา แต่พวกเธอนี่แปลกมีอยู่แท้ แท้ กับไม่เอาครอบครัว  เวลาถูกจับหรือต้องส่งไปอยู่ที่อื่น เธอจะคิดถึงพ่อแม่เธอเป็นประการสำคัญ 


เด็กชายหนึ่ง ชื่อจริง (เด็กชายพละพล  สุขเกษม)  น้องหนึ่งบอกชื่อจริงตั้งแต่วันแรกที่เราคุยกัน เด็กเปิดเผย ความฝันของเด็กยังอยากไปโรงเรียนอยู่ เพราะน้องสาวของเขายังไปเรียน  แต่เหมือนกันทุกคนคือไม่เปิดเผยชื่อแม่ ชื่อพ่อ และที่อยู่ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์

ในวันนั้นครูก็ลากลับ เพราะเด็กทั้งสามสนใจในการพูดคุยแต่การตัดสินใจที่จะเดินตามครูก็ยากเหมือนกัน มีเพียงเด็กชายหนึ่งเท่านั้นที่เดินมาส่งครูขึ้นรถแท็กซี่  สายตาของเด็กชายหนึ่งยังอยากคุยอยู่  เพราะถามว่าครูจะมาเมื่อไร ผมจะคอยอยู่นะครู   คำบอกกล่าวของเด็กเหล่านี้ถือเป็นนิมิตรหมาย ที่ดีสำหรับการลงพื้นที่ครั้งที่สอง

งานที่ครูได้ทำคือการสร้างอาสาสมัครในพื้นที่ ตั้งแต่ผู้แจ้งคุณนีน่า ผู้จัดการร้านสะดวกซื้อพร้อมพนักอีก 8 คน ที่คอยดูความเคลื่อนไหวของเด็ก เด็ก ให้ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว น้องเก๋พร้อมครอบครัว  เจ้าของร้านน้ำ ที่คอยดูเวลาไปชุมชนกีบหมู เจ้าของร้านไก่ย่าง คนนี้ไปรู้จักบ้านเด็กทั้งสองคน  เจ้าของร้านผลไม้ที่เข้าไปขายพร้อมสืบถามว่าพ่อแม่ของเด็กคือใคร  และคนในชุมชนกีบหมู และลุงเปียกช่างทาสีใหญ่ ลงชุมชนให้ด้วย แม่ค้าร้านน้ำเต้าหู้ ที่แบ่งปันอาหารให้เด็ก เจ้าของร้านสปา

เจ้าของร้านสปา บอกว่าเด็กทั้งสามคนบางวันหลังจากถูกไล่ไม่ให้นอนที่หน้าร้านสะดวกซื้อแล้วจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปที่นอนที่หน้าร้านสปาแทน บางวันจะเปิดร้านปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น สิ่งที่ทำได้คือ ก้าวข้ามผ่านไปเข้าร้าน บางวัน ขอโทษต้องข้ามเวลานอนหลับสนิทมากทั้งสามคนเรียงกันเลย 

มีบางวันที่เจ้าแบงค์จะไปนอนที่ในสุด เพราะเป็นอู่ของแท็กซี่ จะไปหลังอู่เลย  การเปลี่ยนที่นอนแล้วแต่โอกาส แต่เด็กก็ไม่ยอมบอกเรื่องการดื่มเหล้าจากร้านเหล้า บอกเพียงว่าเล่นกันสนุกมากเท่านั้น


   

(3) ครั้งที่สามทางโครงการครูข้างถนน ลงไปเพื่อพูดคุยกับชาวชุมชนกีบหมู  เมื่อวันที่  9 กรกฎาคม 2559 เริ่มตั้งแต่บ่าย ได้เอารูปภาพไปที่ร้านสะดวกซื้อ 2 ร้าน ทุกร้านบอกตรงกัน คือกลางคืนเด็กจะเดินจากชุมชนกีบหมู แล้วแวะไปร้านสะดวกซื้อทุกร้านมีทั้งหมด 5 ร้าน ขอเงินบ้างคนให้อาหารบ้าง  ในช่วงกลางวันทุกคนคิดว่าอยู่ร้านเกมส์  ร้านเกมส์ที่นี้มีอยู่ 2 ร้าน  ทั้งสองร้านลูกค้าที่ไปเล่นส่วนมากเป็นเด็กในชุมชน  ตอนนี้คนในชุมชนทั้งคนดั่งเดิมและคนที่อพยพมาอยู่ คนต่างด้าวจำนวนมาก  กังวลเรื่องลูกหลานกับการติดเกมส์ และยาเสพติดที่ระบาดอย่างมาก กลัวสุดคือลูกหลาน ไปเกี่ยวข้อง  เพราะตอนนี้วุ่นวายมากในชุมชนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

-สิ่งที่ในเย็นนั้นในชุมชนมีคนต่างด้าว ทั้ง พม่า โรฮิงยา กัมพูชา จำนวนมากที่สามีทำงาน ลูกเมียเสียค่าเช่าห้อง  ได้มีโอกาสถามครอบครัวซา  มีลูกสองคนที่อยู่กัมพูชา แต่เพิ่งไปรับมาเที่ยวประเทศไทยได้สองอาทิตย์ยังไม่ได้กลับไปส่ง แต่ลูกตอนนี้อยากอยู่กับพ่อแม่  แต่ห่วงเรื่องการเรียนของลูกเหมือนกัน   ตอนนี้เด็กกัมพูชาจำนวนมากที่มาอยู่เมืองไทยแล้วยังไม่ได้เรียนจำนวนมาก  ในขณะนี้ฉันสองคนคือสามีเป็นช่างไม้ได้วันละ 700 บาท ส่วนตัวเองเป็นลูกมือวันละ 500  บาท โดยเฉลี่ยครอบครัวจะได้วันละประมาณ 1,200 บาท ค่าเช่าบ้าน ทั้งน้ำและไฟ จำนวน 2,500 บาท พออยู่ได้ เรื่องเจ็บป่วยก็จ่ายเอง แต่ปัญหาคือไม่ได้มีงานทำทุกวัน เช้าขึ้นมาก็มานั่งคอยคนที่จะนำเราไปทำงานแล้วแต่โชคดี  ตอนนี้คนทำอาชีพจำนวนเป็นหมื่นคน   

-สิ่งที่กังวลต่อเด็กและเยาวชนในชุมชนนี้เหมือนกันคือเรื่องร้านเกมส์ และยาเสพติดที่ระบาดอย่างหนัก รวมถึงพฤติกรรมของเด็กเร่ร่อน พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่น การกินเหล้าสูบบุหรี่ การทะเลาะเบาะแว้งของคนที่มาอยู่ใหม่ ทำให้วัฒนธรรมของมุสลิมเปลี่ยนแปลงไปจำนวนมาก เสียงแม่ค้าร้านอาหารตามสั่งบอก ฉันเองก็ต้องปรับมากเหมือนกัน

(4) โครงการครูข้างถนน  ลงพื้นที่ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2559 ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจน ถึงเที่ยง ในช่วงเช้าได้เห็นวิถีชีวิตของชาวกรรมกรก่อสร้างจำนวนนับหมื่นคนที่ออกมานั่งคอยงาน ระหว่างสองข้างทางถนนเต็มไปหมด ได้มีโอกาสคุยกับลุงเปียก ช่างทาสี บอกว่ารายได้ของตนเองวันละ 700 บาท ถือว่าเป็นช่าง แต่ตอนนี้คนงานกัมพูชาเข้ามาตัดราคา  แต่สำหรับลุงก็ยังคงราคาใครจ่ายก็ทำใครไม่จ่ายก็นอนเฝ้าบ้าน มาอาศัยอยู่กับครอบครัวน้องชายกว่า 15 ปีแล้ว  เพิ่งจะมาดังในช่วงสองปีหลังนี้แหละ  คนต่างด้าวมาแย่งงานคนไทยเสียงดังชัดเจน ครูจิ๋วเดินตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้าจนถึงเก้าโมง เป็นอะไรสำหรับครูคือเรียนรู้เรื่องราวต่างๆมากมายจริงคะ

เมื่อเวลาเก้าโมงเช้าขอพบคณะครูที่โรงเรียนสุเหร่าคลองหนึ่ง(มานะราษฎร์บำรุง) ท่านรองผู้อำนวยการประกิต  แสวง ให้พบ ทางครูจิ๋วเองได้นำเอกสารที่สรุปทั้งคำร้องเรียนและภาพของเด็กในอิริยาบถต่าง ที่เด็กทั้งสามคนออกไปเร่ร่อนและภาพของเด็กทั้งสามคน  รองท่านได้เชิญคุณครูวราภรณ์ และคุณครูไสว มาเล่าให้ฟังว่าทางโรงเรียนได้ดำเนินอะไรกับเด็กไปบ้าง

-เด็กทั้งสามคน เดิมมีเด็กชายไผ่ ก็เคยเรียนหนังสือจากที่โรงเรียน ครอบครัวแตกแยกเด็กอยู่กับน้าสาว เด็กชอบลักขโมยมาตั้งแต่เป็นนักเรียนแล้ว พอเขาจบก็มาชักจูง เด็กชายพละพล  สุขเกษม (หนึ่ง) กับเด็กชายชาตรี  แซ่กิม (เล็ก) ออกไปบนถนนด้วย ได้ลงไปเยี่ยมบ้านคุยกับผู้ปกครอง  ตามเด็กถึงบ้านทุกวันเพื่อให้เด็กได้จบตามเกณฑ์ภาคบังคับ  สุดท้ายเด็กชายไผ่ไม่จบ  ออกไปก่อน  เด็กชายหนึ่งไม่จบ ออกไปเมื่อต้นการศึกษาถ้าเรียนอยู่ในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6  มีเด็กชายชาตรี คนเดียวที่จบ แต่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้

ครอบครัวของเด็กชายไผ่ พ่อกับแม่เลิกกัน เด็กเองมีพฤติกรรมลักขโมยตั้งแต่เข้าเรียน คุณครูก็พยายามแก้ไขปัญหาของเขาทุกวิธีทาง จนน้าบอกว่าไม่ไหวแล้วจะอยู่ก็อยู่ไปอยู่จะไปไหนก็แล้วแต่เด็กแล้ว  แต่ครูก็ยังตามอยู่ (ปัจจุบันเด็กไปอยู่ที่สถานพินิจและคุ้มเด็กกรุงเทพมหานคร)

ครอบครัวของเด็กชายพละพล สุขเกษม (หนึ่ง)เดิมจะมีน้องผู้หญิงเป็นน้องสาวของหนึ่งออกมากับแก๊งค์นี้ด้วย  เด็กตัวน้อยออกมาใช้ชีวิตกลางคืนตั้งแต่สามปีที่แล้ว  ครูวราภรณ์บอกว่า เคยเป็นครูประจำชั้นเขาตอนที่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สาม  ครอบครัวนี้มีพ่อเลี้ยงเวลาเมามาไม่ทำร้ายลูกเลี้ยงแต่ชอบทำลายข้าวของเช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า พังหมด  เป็นบ้านที่สร้างเอง ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ เวลาอาบน้ำ อาบน้ำคลองที่มีกลิ่นเหม็นมาก แม่ไม่ดูแลเรื่องการกิน การอยู่ เสื้อผ้าของเด็ก ปล่อยตามยถากรรม  แม่ใช้วาจารุนแรงกับลูก  (ปัจจุบันเด็กชายหนึ่ง พ่อเลี้ยงส่งกลับไปนครสวรรค์  เพราะพ่อเด็กมีเรื่องกับวัยรุ่นในกีบหมู)

ครอบครัวของเด็กชายชาตรี แซ่กิม(เล็ก) มีพี่น้องทั้งหมดห้าคน เป็นลูกคนกลาง เหมือนเป็นเด็กที่ขี้น้อยใจแม่  มีพี่ชายสอง น้องสาวสองคน ไม่สนใจเรียนอาจเป็นเพราะน่าจะมีการเรียนรู้ช้า เด็กเรียนหนังสือไม่ได้  แต่อยู่มาอยู่ที่ห้องครูวราภรณ์ (นอนหลับ ครูเองก็ยอมเพราะอยากให้เด็กเรียนหนังสือให้จบ)

เมื่อปี พ.ศ. 2558 ประมาณต้นเดือน พฤษภาคม 2558 มีปัญหาคือเด็กหีออกจากโรงเรียนไปนอนที่ร้านสะดวกซื้อ ที่สี่แยกลำกะโหลก ได้รับร้องเรียนว่าเด็กไปลักอาหารเป็นข้าวกับน้ำอัดลมที่ตลาดของแม่ค้า หลายครั้งแล้ว ครูวราภรณ์กับครูไสว สองสามี-ภรรยา ที่ติดตามเด็กทั้งสามคนมาเรียนตลอด ติดตามครอบครัว จึงได้เชิญทุกคนที่เกี่ยวข้องเรียนเชิญเจ้าหน้าที่ 1300 มารับตัวเด็กเข้าดูแลชั่วคราวประมาณ สอง-สามเดือน ที่สถานแรกรับบ้านภูมิเวท  ครั้งนั้นได้ทำแผนชีวิตเด็กร่วมกัน จนเด็กจบ แต่สำหรับน้องหนึ่งมาเรียนได้สามเดือนสุดท้ายก็หยุดเรียนไม่มาอีกเลย

วันนี้เพิ่งเห็นรูปร่าง ทรงผม เปลี่ยนไปมากจากเด็กที่เงียบ ดูเหมือนเด็กเร่ร่อนจรจัดอย่างเต็มตัว  ครูจิ๋วจึงบอกว่าจึงต้องมาหาข้อมูลจากโรงเรียน  เพราะคุยกับเด็กแล้ว เด็กไม่ยอมพูดเรื่องครอบครัว จึงประเมินด้านครอบครัวไม่ได้พร้อมกับ ต้องการหาทางที่จะคุยกับครอบครัวเด็ก ทั้งเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของครอบครัว  

ครูวราภรณ์ ยังบอกอีกว่าตอนนี้ชุมชนที่ใกล้โรงเรียนทุกด้านปัญหารุนแรงสุดคือยาเสพติด มีหลายซอยมากในขณะนี้เปิดเผยกันเลย และยังมีเด็กต่างด้าวที่มาอยู่ในชุมชนเดินกันไป-มา ที่ยังไม่ได้เรียนอีกจำนวนมาก ตอนนี้มีเด็กพม่าเข้าเรียนหลายคน แต่เด็กกัมพูชา ยังไม่มี เพราะต้องอาศัยการพูดคุย พวกเขาจะหลบกันอยู่แต่ในห้อง  ตอนเย็นเมื่อซื้อหาอาหารถึงจะเห็น  และยังมีเด็กเร่ร่อนที่เป็นวัยรุ่น อีก สาม-ห้าคน ในชุมชนที่แยกกันนอนในที่ต่าง

ตอนนี้ในชุมชนกีบหมู มีเด็กเร่ร่อนอยู่ในชุมชนนี้จำนวนกว่าแปดคน  ได้แก่ เจ้าไผ่  เจ้าแบงค์(เด็กชาวกัมพูชา) เจ้าเล็ก เจ้าหนึ่ง  เจ้าแม๊ก(นอนนี้ไปนอนที่หน้าเดอะมอล์บางกะปิ) เจ้าด้อม(ตอนนี้ครอบครัวมาตามกลับไปแล้ว) เจ้าไนท์ (เพิ่งออกมาได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์) เจ้าชัย (แม่บังคับให้ไปทำงานด้วยทุกวัน แต่กลางคืนก็ออกมา แม่จะให้พี่ชายก็มารับกลับบ้านเช่าทุกคืน)

สิ่งที่ครูที่โรงเรียนและครูจิ๋ว ร่วมกันหาทางออก คือต้องแยกทุกคนออกจากพื้นที่ชั่วคราว  ทุกครอบครัวรับปากกับโรงเรียนและเจ้าหน้าตำรวจและเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวว่าจะดูแลเด็กทุกคนไม่ให้ออกมาเร่ร่อนอีกแต่ไม่เป็นผล  จึงต้องจัดการไม่มีให้อยู่บนพื้นที่ก่อนชั่วนี้ เป็นการตัดตอน ไม่อย่างนั้นรวมกลุ่มกันได้กลายเป็นแก๊งค์ใหญ่อันตรายต่อตัวเด็กและคนในชุมชนด้วย และเป็นเหยื่อของร้านเกมส์  วันนั้นครูกลับมาแบบต้องคิดอย่างรอบคอบจะเอาอย่างไรดี

(5) โครงการครูข้างถนน  ได้ลงพื้นที่อีกครั้งวันที่ 16 กรกฎาคม 2559 ซึ่งทางนักข่าว TNN 21 ต้องการสัมภาษณ์เด็กเร่ร่อนไทยที่กำลังเป็นวันรุ่น เป็นกลุ่มน่าเป็นห่วงสุด  จึงพาลงพื้นที่ ที่ร้านสะดวกซื้อ 7284  มาถึงพาพบเจ้าเล็ก ซึ่งถูกหมากัด ทั้งฝามื้อซ้าย 3 จุด ด้วยกัน ซึ่งในขณะนั้น มื้อบวมอย่างมากเป็นหนองและอักเสบขั้นรุนแรง เห็นแล้วกลัวการติดเชื้อในกระแสเลือด  เด็กกำลังให้สัมภาษณ์และกินไก่ย่างไปด้วย  แต่ครูเองกังวลเรื่องแผลเป็นอย่างมากเพราะแมลงวันก็ตอมแผลตลอดเวลา  กล่อมกันจนสุดท้ายว่า เจ้าเล็กลูกครูก็ไม่ใช่ อย่างกวนให้มากกว่านี้ได้ไหม แผลที่เป็นอยู่นี้รู้ไหมว่าอันตรายแค่ไหน แค่ติดเชื้อในกระแสเลือดรับรองว่าเอ็งตายสมใจอยากแน่  เอ็งไม่รักตัวเองแล้วใครจะรัก ขนาดตัวมึง มึงยังไม่รัก เห็นไหมเพื่อนสองคนว่ารักนักรักหนาเขายังปล่อยเองก็คนเดียว แล้วมึงจะแคร์อะไร รักษาตัวก่อนดีไหม  จะไปไม่ไป เงินก็ไม่เสีย  คนเสียเงินคือครูโว๊ย.....


    

-ครูเองก็ตัดสินใจไปโรงพยาบาลสินแพทย์ที่ใกล้ที่สุด  เพราะเด็กเองได้ไปโรงพยาบาลนพรัตน์มาแล้ว เขาแค่ล้างแผลให้ตั้งแต่วันพุธ ยาแก้ปวดก็ไม่ให้ ยาแก้อักเสบก็ไม่ ไม่ได้ฉีดยาด้วยทั้งบาดทะยัก และโรคพิษสุนัขบ้า  ไปถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็ซักข้อมูลใหญ่ เห็นการแต่งกายของเด็กก็ถามว่าใครจะจ่ายค่ารักษา  ครูบอกว่าครูจ่ายเองเงินสด

-ขณะที่นั่งคอยเด็กก็กระวนกระวาย ไม่อยากหาหมอจนหมอเรียก พอเห็นแผลเท่านั้น โดดบ่นแบบว่านี่ มาเร็วนะแต่ก็เกือบสายไปแล้ว  ถ้าหนองที่มันบวมเข้ากระแสเลือดชีวิตจบนะไอ้คนเก่ง  หมอของรีดแผลหน่อยนะ อย่างร้องนะ เราเก่งไม่ใช่หรือ !!!! ไม่ยอมกลับบ้าน  หมอก็เอามีดเปิดปากแผลแล้วก็รีดทั้งเลือดและหนองที่อักเสบออกมาโดยใช้ลำสีม้วนเต็มสำลีที่ละอัน  ขณะนั้นครูก็ยืนกอดเจ้าเล็กอยู่ด้านหลังไม่ให้ร้อง  แต่ก็มีเสียงว่าครูเจ็บจัง  ครูบอกว่าต้องอดทน ห้ามร้อง  หลังจากทำแผลเสร็จหมอสั่งห้ามโดนน้ำ ห้ามไปนอนบนถนน  ต้องอาบน้ำให้ร่างกายสะอาด

-นั่งร้องหมอ เตรียมฉีดยาอีกสองเข็ม  ก็ถามว่าจะให้ครูโทรบอกแม่ไหม  เจ้าเล็กบอกว่าจำเบอร์โทรศัพท์แม่ไม่ได้  พูดเท่าไรก็ไม่ยอมที่จะให้บอกกับครอบครัว  ประการเดี๋ยวกลัวกลับไปบ้านแล้วจะโดนตี เรื่องหมากัด  พ่อชอบตี  คุยกันนานพอสมควรนั่งกันคนละมุม  จนหมอเรียกไปฉีดยาลีล่ายังเยอะเหมือนเดิม  แต่ครูเริ่มหมั่นไส้มากแล้ว เรื่องมากจริงๆ จะฉีดไม่ฉีด ไม่ฉีดก็กลับรำคาญ  สุดท้ายคือฉีด 2 เข็ม ก็เข้าใจว่าเด็กกลัวเข็ม จึงบอกว่าให้หลับตา โตแล้วยังกลัวอีก 

-สุดท้ายควรก็โทรหาแม่ของเจ้าเล็ก ที่ทำงานก่อสร้าง  และอยากจะเอาเจ้าเล็กไปบ้านที่ชุมชนกีบหมู  แต่ไม่แน่ใจเรื่องการออกมานอนนอกบ้านอีก  จึงถามเด็กให้แน่ใจว่าจะไปอยู่กับครูที่บ้านสร้างสรรค์เด็ก ชั่วคราวก่อนไหม จนกว่าจะรักษาตัวหายดี แล้วค่อยว่ากันกับชีวิตของเจ้าเล็ก  เอาแค่กินยาให้ครบ แดยาให้ครบ ไม่อย่างตัดมื้อแน่ (คือการขู่ไว้ก่อน)

-ตอนนี้เจ้าเล็กอยู่ที่บ้านสร้างสรรค์เด็ก  จนกว่าจะครบ  ส่วนแม่เด็กคอยหาโอกาสเยี่ยมครอบครัว  เป็นการทำงานกว่าจะแยกออกจากถนน  ส่วนเจ้าหนึ่ง พ่อเลี้ยงแยกเอาไปไว้ที่จังหวัดนครสวรรค์ก่อน  เพราะพ่อเลี้ยงมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นที่กีบหมู   เหลือบนถนนคือเจ้าแบงค์(ชาวกัมพูชา)  ขอค่อยกับบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานครจะเอาอย่างไร   และเจ้าไนท์ เพิ่งออกมาคงต้องตามหาครอบครัว  ซึ่งตอนนี้กลุ่มเด็กวัยรุ่นฝังตัวอยู่ที่ร้านเกมส์

การทำงานของครุข้างถนน ในการจัดการกรณีศึกษาเหล่านี้กว่าจะได้แต่ละเคส ต้องใช้พลัง และแนวทางช่วยเหลือที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่ละกรณีมีวิธีการทำงานที่แตกต่าง และนับวันจะทำงานยากขึ้นเรื่อยๆ ต้องศึกษาทีละเรื่อง