banner
จันทร์ ที่ 26 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แก้ไข admin

ถึงเวลา...ที่แม่ยอมจำนน

                                                                                                                     

นางสาวทองพูล   บัวศรี

 
                                                                            ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก              
 

             ด้วยครอบครัวนี้แม่ลูก ใช้ชีวิตบนท้องถนน อย่างยาวนาน  ครูเองไปเจอตั้งแต่ปี 2557  ในขณะนั้นลูกสาวคนโต ยังเล็กอยู่ประมาณ 3 ปี 8 เดือน มีท้องอีกหนึ่งคนได้ประมาณ 4 เดือน 

          แต่เมื่อมกราคม 2558  ถูกจับคดี “ ค้ามนุษย์”  ส่งเด็กหญิง คนโต เข้าสถานสงเคราะห์  ลูกคนเล็กไปคลอดในทัณฑ์สถานหญิง   แม่ออกมาจากเรือนจำเดือนพฤษภาคม 2558  และมีคำสั่งอัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีค้ามนุษย์ เมื่อ 31 กรกฎาคม 2559 แม่กับครูก็ไปรับลูกสาวคนโตจากสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท  อายุก็เข้าอนุบาลได้แล้ว  ครูต้องการันตีว่าจะส่งเด็กเข้าเรียน  แต่ความรักของของแม่ทะลักทะลายมากมายมหาศาล ใคร ใคร ก็เลี้ยงลูกฉันไม่ดีเท่าฉัน  ฉันให้กิน จะซื้ออะไรซื้อให้หมด  ตามใจจนเอาไม่อยู่  เห็นฤทธิ์เดชของเด็กน้อย ซึ่งเป็นนางฟ้าของแม่  หรือเป็นเครื่องมือของแม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

          ในระหว่างช่วงเดือนธันวาคม 2558  ครูก็พยายามกล่อมแม่ให้ส่งลูกสาวคนโตเข้ามายังบ้านอุปถัมภ์เด็ก ของมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก  จนเข้าเรียนได้  แต่ความรักของแม่กับพ่อเลี้ยงคนใหม่บอกว่าสามารถเลี้ยงลูกได้  ก็มารับเด็กออกไปในช่วงเดือนเมษายน 2559  ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอม  มีการต่อว่าครูที่ดูแลอย่างรุนแรง  ครูเองก็ต้องค่อย ค่อย หาทางประสานความรู้สึกของครูโดยตรง  เด็กได้มีโอกาสเข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนใกล้ที่พัก

 

 สำหรับคดีความตำรวจส่งเรื่องให้อัยการ ทางอัยการสั่งฟ้องเรื่องพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546  ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง  โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด(สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1) เป็นโจทก์  แม่ของเด็กเป็นจำเลย ฐานความผิด ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอม หรือกระทำด้วยประการใดให้เด็กไปเป็นขอทาน ใช้เด็กให้ทำงานหรือกระทำการอันอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตหรือขัดขวางต่อการพัฒนาการของเด็ก

          ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26(5),(6)78  ลงโทษปรับ 400 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ  ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง  คงปรับ 200 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา 29,30

          เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2559  ซึ่งทั้งมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก และ ครู(นายสำราญ อรุณธาดา) จากมูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล  ช่วยกันจ่าย องค์กรละ 100 บาท 


 

          ตั้งแต่นั้นมาศาล และทีมงานสังคมสงเคราะห์ เน้นให้ส่งเด็กเข้าเรียน เพราะเด็กอยู่ในวัยเรียนแล้ว  ทางแม่ของเด็กก็ยังพาลูกสองคนออกมาบนถนนอีกครั้ง  ทั้งขายของและผู้แสดงความสามารถ  จนครูต้องหันมาพูดคุยกับแม่อีกครั้ง  ว่าแม่จะเอาลูกไปเรียนที่ต่างจังหวัด ด้วยว่าทางครอบครัวของยายเขายินที่ที่จะรับลูก ลูกเขย และหลานสองคนเข้าบ้านอีกครั้ง    ซึ่งก็เดินทางกันไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป

          ในระหว่างนั้นครูเดินบนถนนเหมือนเดิมก็ยังพบแม่เป็นครั้งคราว  ด้วยการพระ และสินค้ามือสอง  พบน้องคนเล็กบ้าง  แต่สำหรับคนโตก็ได้เรียนหนังสือที่ต่างจังหวัด  จากชั้นอนุบาล 1 ขึ้นเป็นอนุบาล 2 จนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เทอมแรกเท่านั้น  แต่เด็กขาดเรียนบ่อยมาก

          จนเมื่อวันที่ 27 เดือนกันยายน 2561  ทางทีมศูนย์ปฏิบัติการขอทาน พร้อมกับตำรวจนครบาล พบครอบครัวที่ สะพานลอยพันธุ์ทิพ  และขอส่งตัวทั้งครอบครัว ไปยังบ้านมิตรไมตรี   ซึ่งมีพี่ตา เป็นผู้อำนวยการบ้านมิตรไมตรี  ว่าเจ้าหน้าที่พบครอบครัวนี้  เขาไม่ได้ขอทานเขาเพียงขายของเลี้ยงชีพ  ทางพี่ตาจึงได้ปล่อยตัวออกไปอีกครั้ง เพราะทางแม่บอกว่ามีที่พักแน่นอน

          เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2561 ได้พบครอบครัวนี้อีกครั้งที่อนุสาวรีย์  ซึ่งแม่ได้แปรเปลี่ยน เป็นผู้แสดงความสามารถ โดยการเป่าขลุ่ยพร้อมมีอุปกรณ์เครื่องเสียงเล็ก  เพื่อเลี่ยงหนีการถูกจับ  ในกรณีที่ให้ลูกขอทาน  แล้วปล่อยลูกวิ่งบนสะพานลอย  ครูขอตัวลูกน้อยว่าต้องเข้าเรียน  ไม่อย่างนั้นมีแม่มีความผิด  ทางตำรวจต้องส่งแม่เข้าสถานสงเคราะห์อีกครั้ง  ลูกอาจต้องเปลี่ยนไปอยู่อีกสถานสงเคราะห์อีกแห่ง

          จนเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2561 ตำรวจโทรมาประสานงานของส่งครอบครัวนี้ เข้าบ้านพักเด็กและครอบครัว  แม่มีอาการโวยวายอย่างมาก  เล่นเอาเจ้าหน้าที่ที่โทรมาบอกว่าไม่อย่างยุ่ง  ทางเจ้าหน้าบ้านพักเองก็ต้องการความสมัครใจ  แต่แม่เด็กอ้างกฎหมายเยอะมาก  สุดท้ายก็มาใช้ชีวิตบนถนนอีกครั้งหนึ่ง

          ครูเองก็เดินถนนทุกสัปดาห์สลับพื้นที่ระหว่างถนนสุขุมวิท กับประตูน้ำ  อยู่เสมอ  แต่เมื่อคืนวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561  ตัดสินใจเดินจากหอศิลปะ กรุงเทพมหานคร  ผ่านมาบุญครอง เพื่อที่จะพบกับครอบครัวที่ขายพวงมาลัย  ในช่วงเวลาหกโมงครึ่งของตอนเย็น 

          เดินต่อจนผ่านหน้าสยาม หน้าห้างเซ็นทรัลเวริด  ข้ามสะพานข้ามแยก  มาตรงสะพานลอยประตูน้ำ  แล้วเดินตรงมายังสะพานลอยที่หน้าห้างพันธุ์ทิพ


 

          เดินมาแต่ไกลเห็นว่าหัวมุมสะพานลอยมีข้าวของจำนวนมากกองอยู่ เพราะหัวมุมนี้เป็นของห้างพล่าซ่ากรุงทอง (ซึ่งปิดตัวลงไปแล้ว)

          ครูเดินขึ้นสะพานลอยที่สูงมาก ชันด้วย และที่สำคัญ ครูเดินมาไกลพอสมควรแล้ว  สายตามองผ่านความมืด พบแม่ของเด็กนอนอยู่บนสะพานลอย กับยา 3 แผง ซึ่งเป็นยาแก้ปวดทั้งหมด  หน้าบวมเบ่ง และแดงมาก  มีอาการไข้สูง  ต่อมาก็เป็นลูกคนโตนั่งจับลูกโป่งสีเขียวอยู่กอดไว้อย่างหลวมๆ   พอเห็นหน้าครู   เด็กน้อยพูดทันทีว่า อยากไปเรียนหนังสือกับครู

          ถัดไปเป็นเจ้าลูกคนเล็ก นั่งเรียงกล่องบริจาค  ซึ่งเมื่อคืนมองไม่เห็นว่าเขียนอะไรมาก  แต่ก็ยังมีคนบริจาคเป็นเหรียญบาท เหรียญห้าบาท

          เสียงแม่ของเด็กที่นอนซมด้วยพิษไข้  บอกกับครูว่า ลูกสาวคนโตเอาไม่อยู่แล้ว ชอบพาน้องไปเดินตามที่ต่างๆ  เป็นห่วงกลัวการเกิดละเมิดทางเพศ  แล้วไม่เคยนั่งนิ่งๆขอเงินเหมือนแต่ก่อน ฉันเองก็ลุกไม่ไหว  ตามหาลูกไม่ทัน  แล้วบริเวณแถวนี้ก็มีแก๊งชาวต่างชาติทั้งฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม จีน  ที่ชอบล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยว  ครูเอาเข้าบ้านอุปถัมภ์เด็ก

          ครูจึงต่อว่า เมื่อสองปีที่แล้ว เธอไปด่าครูที่บ้านเขาเสียหาย  แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวครูโทรหา ผู้จัดการบ้านก่อนนะ  เธอให้ครูจริงๆๆนะ  แต่เด็กน้อยเองก็ยืนกลางว่าอยากเรียนหนังสือ  จึงบอกว่าอย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าครูมารับนะ   อย่าพาลูกหนีครูอีก....

          หลังจากพูดคุยกันเสร็จก็ทั้งโทรและไลน์หา ครูแอ๋ว ผู้จัดการบ้านอุปถัมภ์เด็ก  ขอส่งเด็กเก่าที่เคยอยู่  ตอนนี้ไม่มีบ้าน ส่งรูปที่นอนบนสะพานลอยให้ด้วย  ครูแอ๋ว ตอบรับเป็นอย่างดี  ที่เหลือคือครูต้องเอาตัวเด็กมาให้ได้...

 

          กลางคืนก็นอนกลัวทั้งคืน กลัวสุดคือแม่พาลูกหนี  แต่เห็นสภาพเมื่อคืนก็อาการให้แม่นอนซมอีกครั้ง การพาเด็กมาจะได้ง่ายมากขึ้น

          เช้าของวันนี้  ตื่นแต่เช้า พร้อมลุย  นั่งแท็กซี่ยาว เพราะต้องการไปให้เร็วที่สุดก่อนแม่ของเด็กจะเปลี่ยนใจ   เมื่อไปถึงให้เด็กสองคนกินข้าวเช้าก่อนซึ่งซื้อไก่ย่างไป 3 ไม้ ข้าวเหนียว 4 ห่อ  แต่ลูกคนโตบอกว่าไปกันเถอะครู

          นั่งคุยกับแม่ต่อเรืองการพาไปรักษา  แม่เด็กบอกว่าไม่อยากไปตอนนี้  กลัวต้องนอนโรงพยาบาลยาว  กลัวหลายโรคที่บั่นทอนชีวิต   แต่อาการป่วยหัวเคยเป็นมาแล้วอย่างรุนแรงมาก  คุณหมอให้ไปฟังผลก็ไม่ไปกว่า 3 ปีมาแล้ว  และถูกทำร้ายร่างกายจากสามีเย็บ 8 เข็มเมื่อต้นปีนี้

 ครูอยากให้เธอรักษา เพื่อมีอายุยืนยาวดูแลลูกๆๆ  ไม่อยากให้เป็นอะไรไป   เพราะครูไม่ต้องการที่จะดูแล  “ผลผลิตแห่งความรักของเธอ  ด้วยเธอตายก่อน”

สายตาของครูที่มองที่นอน มันไม่ได้เหมาะเป็นที่พัก  เสียงของลูกบอกว่ายังไม่ได้อาบน้ำ สระผม มากว่าอาทิตย์แล้ว  เพราะแม่ป่วยจึงไม่กล้าให้ลูกไปห้องน้ำคนเดียว  เพราะกลัวเรื่องคนแปลกหน้าจะเอาเด็กไป

ที่นอนระหว่างขั้นบันไดทางขึ้นสะพานลอย  โดยเอาลูกนอนข้างในสุด  ต่อมาด้วยข้าวของ แม่นอนบันไดสูงสุด  เวลานอนก็ต้องคอยระวังคนมาค้นกระเป๋า มาลักสตางค์   เมื่อคืนโดนขโมยเงินเหรียญไปหมดเลยกว่าห้าร้อยบาท   ไม่เหลือเงินติดตัวเลย

ครูเองก็ได้แต่นั่งฟังแม่ระบาย ให้เต็มที่  เพราะครั้งนี้แม่ยอมจำนนกับเหตุผลของครูทุกเรื่อง  และครูเองไม่อยากที่รบเร้ามากหนัก   เพราะชีวิตของพวกเขา เขาต้องมีสิทธิเลือกเอง  ได้ลูกคนโตมาเรียนหนังสือก่อน  ขั้นต่อไปคือลูกคนเล็ก

บางครั้งความปรารถนาดีของครูข้างถนน ก็ตั้งใช้เวลา ใช้ความอดทน อดกลั้น การรอคอย  ให้กรณีศึกษาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ

งานของครูข้างถนนก็ต้องเดินต่อไป  เพื่อสร้างโอกาสที่ดีกับเด็ก กับครอบครัว