banner
ศุกร์ ที่ 15 เดือน กันยายน พ.ศ.2560 แก้ไข admin

ผมเป็นคนไทยเหมือนกัน....นะ

 
นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

                ครูครับมาสนใจพวกผมทำไม.....มาจนคนแถวนี้เขาจำหน้าครูได้แล้วนะ

                ครูอยากพูดคุยกับพวกเธอ   ว่าพวกเธอต้องการให้ครูช่วยอะไรบ้าง......แต่พวกเธอเข้าถึงยากมากเลยนะ  ครูเจออามีนตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2559  จนมาถึงบัดนี้ใช้เวลาตั้งกี่เดือน  กว่าพวกเธอจะคุยให้ครูฟัง   ครูไม่เหนื่อยหรอก  แต่ครูห่วงพวกเธอ   ยิ่งนานวันเข้าบางเรื่องอาจจะสายเกินไป  เริ่มจากวันนี้ดีกว่าไม่เริ่มเลยนะ 

                ครูครับผมมีพี่น้องสองคน  ผมอามีน  กับบิว   ผมอายุ 11 ปี  น้องบิวอายุ  9 ปี   พวกผมสองคนไม่มีเอกสารครับ  ไม่มีอะไรเลย  แต่พ่อผมเป็นคนไทยนะครับ....

                ด้วยเป็นเด็กผู้ชายที่ผอมมากในขณะที่อายุ 11 ปี  ผิวสีดำคล้ำ  ทรงผมมีทั้งสีแดง ดำ ม่วง สลับกันทั้งหัว  ชอบใส่เสื้อสีดำ  กางเกงวอร์มขายาว  รองเท้าแตะ  เวลาเดินชอบเดินลากเท้า เหมือนเด็กพิการ  ขาไม่ค่อยแข็งแรง

                แม่ของผมมาอยู่ที่ซอยร่วมฤดี  หลายสิบปีแล้วครับ  แม่ผมเป็นคนพม่าที่ ตายายส่งมาอยู่กับคนที่รู้จักที่คลองตันตั้งแต่ 9 ปี  มาขายดอกไม้กุหลาบ พวงมาลัย  กระดาษทิชชู  โดยแม่ไม่เคยเห็นเงินมากับเพื่อนกว่า 5 คน   แม่ทำงานตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงสี่ทุ่ม  คนที่ได้รับเงินคือตายาย ที่อยู่อำเภอแม่สอด  จังหวัดตาก    พออายุ 14 ปี  ทำงานกว่า 5 ปี  เพื่อนแม่มีครอบครัวไป ไปอยู่กับคนรู้จัก   ทุกคนก็ออกไปมีครอบครัวของตนเอง เหลือแม่คนเดียว


                แม่ผมไม่มีเอกสาร  อยู่ในกรุงเทพมหานครเมืองใหญ่แบบผิดกฎหมาย  แต่แม่ก็ไม่เคยถูกจับสักครั้ง   แม่ผมก็อยากจะออกไปมีชีวิตของตัวเอง   อยากเป็นอิสรภาพอยากเป็นนกที่โบยบิน  การจะออกมาคือการมีครอบครัวเท่านั้น

                แม่มาเจอพ่อ   พ่อผมเป็นคนไทยชาวมุสลิมที่แถวมีนบุรี  พ่อเป็นคนใจร้อนมีพี่น้องหลายคน  ด้วยเป็นลูกชายคนกลาง ที่ใครๆ ก็ไม่รัก   จึงออกมาอาศัยที่นอนที่สะพานข้ามคลองที่สี่แยกคลองตัน  แล้วพ่อก็เดินเร่ร่อนไปเรื่อยตามใจปรารถนา  จนมาเจอกับแม่ที่ซอยนานา

                แม่กับพ่อก็ตัดสินใจในการไปอยู่กับพ่อด้วยอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น  ซึ่งเด็กด้วยกันทั้งคู่  แต่แม่มีความปรารถนาที่จะออกจากครอบครัว  จึงหนีตามพ่อมาอยู่ที่คลองตัน

                ญาติฝ่ายพ่อตามมาเจอพ่อกับแม่อยู่ด้วยกัน  ปู่กับยายจับให้มีการแต่งงานกันเป็นเรื่องราว   แต่ตายายที่แม่สอดโกธรแม่มาก  โกธรมาจนถึงบัดนี้ว่าไม่รักตายาย   แต่แม่ก็ให้เหตุผลว่าอยู่กับครอบครัวคนรู้จักไม่เคยได้เงินเลย กินก็ไม่ได้กิน  แม่ต้องอาศัยข้าวที่เหลือของลูกค้ากินบ้าง  เงินที่ขอทานเขาบ้าง  เพื่ออยู่ให้รอด  แต่เงินที่ขายดอกไม่ได้เขาเอาไปหมด   ยิ่งอยู่ก็ยิ่งถูกเอาเปรียบมากขึ้นเลย

                การแต่งงานครั้งนั้น ญาติข้างแม่ไม่มีใครมากันเลย เหมือนถูกตัดญาติในโลกนี้มีแม่คนเดียว  แม่ชอบเล่าให้ฟังและพูดตลอดเวลาว่าเราสองคนต้องรักกันให้มาก มาก  เพราะมีพี่น้องกันแค่สองคนเท่านั้น

                แม่มีผมเป็นลูกคนแรกด้วยอายุ 17 ปี เด็กทั้งพ่อและแม่  พ่อไปแจ้งเกิดผมไม่ได้ด้วยความเป็นเด็ก ต้องมีผู้ใหญ่ไปรับรอง ปู่กับย่าก็อายุมาก พูดไทยไม่ได้จึงไม่ได้ไปสำนักงานเขต  ที่แย่กว่านั้นผมเกิดที่บ้านปู่กับย่า  ในช่วงนั้นไม่มีการแจ้งผู้ใหญ่บ้าน เพราะแม่ไม่เอกสาร  ผมจึงไม่มีอะไรเลย  หลังจากนั้นอีกสองปีก็มีน้องเกิดมาอีกคน  ก็ไม่มีเอกสารใดๆเหมือนกัน


                พ่อผมจึงพาแม่ย้ายมาเช่าที่ซอยร่วมฤดี  มาขายโรตีด้วยกัน  ด้วยพ่อผมมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว  ผมอายุ แค่ 8 ปี อยากเรียนหนังสือ   แค่อยากเท่านั้น  ช่วงนั้นพ่อเริ่มป่วยมีอาการไอ แล้วก็ไม่มีแรง แม่กับผมทำงานกันสุดชีวิต  แต่ไม่มีเงินที่จะพาพ่อไปรักษาโรงพยาบาลดี ๆได้

                ในปี 2556  พ่อก็จากพวกผมไป   วันนั้นจำได้ว่าทางญาติเอารถกระบะมารับศพ โดยไม่ให้พวกผมไปด้วย  บอกแต่เพียงว่าต้องฝังวันนี้เท่านั้น   พวกผมยังไม่เคยรู้เลยว่าพ่อของพวกผมไปฝังที่ไหน  ตั้งแต่บัดนั้นมาพวกผมเหลือกันแค่สามคนที่อยู่ในบ้านเช่าหลังนั้น  ญาติของพ่อเหมือนไม่เคยรู้จักกันเลย  เป็นอันว่าเรื่องใบเกิดของผมกับน้องชายไม่มีวันได้  เพราะแม่เองก็ไม่มีเอกสาร

                เวลาใครถามผม  ผมจะบอกว่าเป็นคนไทยอย่างเต็มปาก เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าไม่มีใบเกิด   เรื่องการเรียนมันก็ไม่อยู่ในหัวของผมอีกเลยครับครู    ไม่มีเอกสาร ไม่กล้าไปโรงเรียน ผมกับน้องเขียนไม่ได้ อ่านก็ไม่ออก  ใครถามอะไรผมก็ตอบแบบมึน ๆ ไม่รู้

                หลังพ่อตาย ผมช่วยแม่ขายดอกไม้ ขายโรตี  จนพวกเรามีเงินก้อนหนึ่ง  เหมือนฟ้าผ่าครับ ตำรวจจับแม่ผมว่าเป็นคนต่างด้าวไม่มีเอกสาร  เงินที่มีเอาไปแลกกับอิสรภาพของแม่   เป็นอันว่าแม้แต่เงินจะลงทุนก็ไม่มี  ค่าเช่าบ้านก็ไม่มี  พวกผมมานอนใต้ทางด่วนจึงได้รู้จักเพื่อนที่มาอาศัย  เพื่อรอแม่ออกมา จากวันเป็นสามวัน เป็นสัปดาห์  แล้วก็เป็นเดือน  สุดท้ายห้าเดือนแม่ก็กลับมาหาพวกเรา  แต่บ้านที่พวกเราเช่าเขาไล่รื้อไปหมดแล้ว  พวกเราก็เหลือเพียงแค่เสื้อผ้าหม้อหุงข้าว  จาน ชาม ที่พวกเราเก็บมาอยู่ใต้ทางด่วน

                ผมกับน้องกลายเป็นเด็กเร่ร่อนพเนจรเต็มตัว  หากินด้วยการขอทาน ขออาหารบ้าง รับจ้าง  รอแม่ที่จะกลับมา  รอทุกวัน   จนพวกผมมาเจอครอบครัวของอาท  ที่อพยพมาอยู่ใต้ทางด่วน เปรียบเสมือนบ้าน  กลายเป็นว่าพวกผมมารวมกับครอบครัวของอาท  มีอะไรก็แบ่งปัน   บางวันก็ไม่ได้กินอะไรเลย  นอนกันอย่างเดียว  บางครั้งมาม่าสองซองกินกันหกคน   ต้มแบบผสมกับข้าว  กินให้อยู่ท้องเท่านั้น

                ชีวิตของพวกผมแค่เอาให้อยู่รอดเท่านั้น   วันที่ผมเจอครูที่ประตูน้ำแล้วครูซื้อข้าวมันไก่ให้ผมหนึ่งกล่อง  ผมสารภาพเลยว่าเป็นครั้งแรกที่กินแบบอิ่มและอร่อยมาก พร้อมน้ำอีกหนึ่งขวด นมอีกสองกล่อง ขนมอีกสามชิ้น    ผมมาเล่าให้เพื่อน เพื่อน ฟัง มันบอกว่าผมโม้ 


ใครจะใจดีแบบซื้ออาหารให้กินมื้อเดียวเป็นหลักร้อย   แต่ผมจำครูได้ดี

จนเพื่อน เพื่อนมาเจอป้า  มันถึงบอกว่า ป้าใจดี  ให้มันกินแบบอิ่ม

วันนั้นที่เจอป้า   พวกผมกำลังล้อมกรอบบังคับเอาเงินนักท่องเที่ยวเพราะผมหิวมาก

ดีที่ป้าตระโกนว่ามีนมกับขนม   ทุกคนจึงมาหาป้า  แล้วป้าก็เห็นว่าพวกผมกินกันอย่างหิวโหย

ผมเล่าต่อนะครับ  พอแม่กลับมาเริ่มมีชาวมุสลิมที่อยู่ในซอยนานามาชอบแม่ลงทุนอุปกรณ์การขายโรตี  และทุนการสร้างบ้านเองที่ซอยร่วมฤดี    แต่ผมกับน้องไม่ชอบ  จึงไม่เข้าบ้าน  ไปเฉพาะที่ตอนที่พ่อเลี้ยงไม่อยู่ออกไปทำงาน  หรือไปดักแม่ที่ขายโรตี   ไปขอเงิน

ตั้งแต่นั้นมาเกือบสามปีเต็มแล้วที่ผมกับน้องมานอนที่ใต้ทางด่วนเหมือนบ้านผมเลยครับ  แม่ผมก็มาตามเหมือนกัน  แต่ผมไม่ชอบหน้าพ่อเลี้ยง  

ความจริงเขาก็ดีต่อผมกับน้อง   แต่ผมคิดถึงพ่อของผมอยู่   ไม่ชอบเอามาก ๆ

บอกแม่ว่าเมื่อไรผมกับน้องหิวจะเข้าไปกินข้าว  ทำไปทำมาตอนนี้ ไม่เข้ามาเป็นปีแล้ว  แม่ได้แต่เดินมาหาผมที่นี้  หรือไปเจอกันที่ซอยนานา

บางคืนผมก็จะช่วยแม่หาดอกไม้ ถ้าเป็นวันที่ฝนตกขายโรตีไม่ได้   พ่อเลี้ยงผมเขาทำงานเป็นคนขายของให้กับเจ้านายเข้างานตั้งแต่เก้าโมงเลิกงานสี่ทุ่ม  

เพื่อนห้าคนถูกจับกันที่ซอยนานา  สำหรับผมกับน้องจะวิ่งหนีกันสุดชีวิต  เพราะพี่ในกลุ่มถูกจับสามครั้งส่งเข้าสถานสงเคราะห์ ครั้งสองปีหรือสามปี  เขามาเล่าว่าไม่ดีเลย  ตอนนี้เขาอายุ 21 ปีแล้ว  เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นการเล่าสู่กันฟังกับพวกผม

แม้แต่ป้าเองที่มาหาผม   เพื่อนๆ ผม เขากลัวว่าป้าเป็นสายลับ   ผมเป็นคนรับรองว่าป้าไม่ใช่

จริงๆ ผมเจอเห็นป้า เป็นสิบครั้งแล้ว  แต่ผมไม่ปรากฏตัว  ผมเห็นป้าแจกนมขนม  บางครั้งก็นั่งคุยกับลุง ป้า แม่และเด็กที่ขอทาน  จึงนำมาเล่าให้พี่กร พี่ปุ้ม และเพื่อนๆฟัง

พร้อมกับป้ามาหาพวกผมทั้งเอาสบู่ ยาสีฟัน ป้า ผ้าเช็คตัว  และมุ้ง  มันช่วยพวกผมได้เยอะครับ  วันไหนที่พวกผมหิวป้าเอานมมาเป็นแพ็ค ขนม   ช่วยให้ผมรอดตายเป็นรายวัน

ผมกับน้องเป็นคนไทยนะป้า

ผมเป็นคนไทยนะ